วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เงินร้อน,ตลาดหุ้นTIPแมงเม่าว่อนและคลื่นแห่งความโลภ ระวังติดดอยจะหาว่าไม่เตือน


คัมภีร์หุ้นไทย(6ก.ย.):ระวัง!Hot money-TIPและคลื่นที่5
ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com

1.เงินยังไหลเข้าต่อหรือไม่ ในเมื่อมีสัญญาณว่าค่าเงินดอลลาร์อาจจะแข็งค่าขึ้น


สถานการณ์-ตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นในเวลานี้ เพราะเงินทุนที่เป็นเงินร้อนไหลเข้า(hot money) ข้อสังเกตคือค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมาแตะระดับ31.02บาท/ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อน

แนวโน้ม-อย่างไรก็ตามสัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่าอาจทำพีคไปแล้วก็ได้ และเริ่มมีสัญญาณว่ามีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงในระยะต่อไป (ดูจากค่าสัญญาณ%Kในstochasticsเริ่มเกิดsell signalแล้ว)

*สถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์-ตามชาร์ตนี้ แปลเป็นไทยก็คือที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์ตกลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และฟื้นตัวขึ้น แต่หลังจากนี้คาดว่ามีโอกาสแข็งค่าขึ้นไป85-86จุด หรือ90-92จุดในระยะต่อไป

พูดง่ายๆว่า ค่าเงินบาทใกล้จะพีค ส่วนค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนแรงลงมานั้น ใกล้จะแข็งค่าขึ้นต่อไปแล้ว

แล้วจะมีผลกระทบอย่างไรต่อตลาดหุ้น?-พูดง่ายๆคือที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า แต่ก็อย่าลืมว่าเป็น”เงินร้อน”(hot money) ส่วนหนึ่งก็มาแลกเปลี่ยนเงินบาท เพื่อเอาเงินบาทมาซื้อหุ้นในตลาดหุ้น ทำให้หุ้นขึ้น

แต่หากเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์นี้ก็อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อค่าเงินแข็งมาที่เป้าหมายราวๆ31.00บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทอาจหยุดแข็ง นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรต่างชาติที่เป็นพวกกองทุนป้องกันความเสี่ยง(hedge fund) อาจจะขายทำกำไรในตลาดหุ้น แล้วแปลงกลับไปเป็นดอลลาร์ เพื่อนำเงินกำไรออก หรือแม้กระทั่งเข้าไปเก็งกำไรในตลาดเงิน คือไปช้อนซิ้อดอลลาร์แทน ก็ได้

ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นได้ เพราะจะส่งผลให้ฝรั่งขาย และหุ้นตก

2.ตลาดหุ้นTIP(ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์)กับHot moneyรอบนี้

สถานการณ์-ประเด็นสำคัญคือเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรปแย่ ดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง หรือยังขึ้นไม่ได้ในปีนี้(ไม่เจอออกมาตรการโหดๆก็ถือว่าบุญแล้ว) ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดี GDPขยายตัว อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น อย่างไทยคาดว่าสิ้นปีนี้ ดอกเบี้ยนโยบายน่าจะขึ้นไปอยู่2%เป็นอย่างน้อย ปีหน้าก็คงไม่น้อยกว่า3.5% ส่งผลให้เงินทุนจากโซนอเมริกา และยุโรปไหลเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย รวมทั้งมาเล่นหุ้นเก็งกำไร

ปัจจัยผันแปรจึงอยู่ที่ว่า

2.1หากเศรษฐกิจโซนยุโรป อเมริกาดีขึ้น ขึ้นดอกเบี้ยไวขึ้น เงินจะไหลกลับไปโซนอเมริกา ยุโรปไวขึ้น
2.2มีการเก็งกำไรในโซนเอเชียจนอิ่มตัวแล้ว
2.3อันนี้ข้อน่าสังเกตคือ เม็ดเงินร้อนที่ไหลมาทางเอเชีย หากสังเกตให้ดีจะพบว่าไม่ได้มาทุกตลาดนะครับ จะมาเฉพาะโซนที่ฝรั่งเรียกว่าTIP-Thailand ,Indonesia, Philipines เท่านั้น จากชาร์ตด้านบนจะพบว่าหน้าตาของ3ตลาดหุ้นนี้คล้ายๆกัน ขณะที่ตลาดอื่นๆไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลย์ ญี่ปุ่นฯลฯนั้น ยังไม่ได้ขึ้นมาขนาดนี้นะครับ

***TIPต่างก็ขึ้นมาสูงที่สุดในโลก (อินโดนีเซีย +182% จากจุดต่ำสุด, ฟิลิปปินส์ +102% จากจุดต่ำสุด และหุ้นไทย +130% จากจุดต่ำสุด) ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ต่างชาติโยกเม็ดเงินเข้าลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เปรียบในแง่ราคาถูกอย่างแต่ก่อนแล้ว เพราะตอนนี้ค่าP/Eของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 12.9 เท่า อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นภูมิภาคที่ 12.6 เท่าแล้ว หรือเท่ากับ +3% เมื่อเทียบกับในอดีตรอบ 5 ปีที่ซื้อขายที่ Forward PER เฉลี่ยต่ำกว่าราว -26% ขณะเดียวกัน Forward PER ทะลุระดับ 1 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (+1SD) ที่ 12.4 เท่าแล้ว

ข้อพิจารณาสำคัญ-ก็คอยจับตาดู3ตลาดนี้นะครับ น่าไปทางเดียวกัน คือหากพีครอบนี้ก็น่าจะไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน หากไปต่อก็คงไปด้วยกัน เพราะมีอิทธิพลจากhot moneyด้วยกัน

3.กันยายน เดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 ตามสถิติเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุด และมักเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ก่อนจะไปตกหนักในตุลาอาถรรพ์(October effect)

จากการศึกษาตลาดหุ้นสำคัญๆในรอบเกือบ 20 ปี คือตลาด S&P500, DJ Stoxx 50, Nikkei 225, MSCI Asia ex-Japan และ STI มีผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้

-ไตรมาส 4 (ตุลาคม-ธันวาคม เป็นไตรมาสที่หุ้นขึ้นดีที่สุด)รองลงมาคือไตรมาส1 คู่คี่ไตรมาส2
-ไตรมาส 3(กรกฎาคม-กันยายน)เป็นไตรมาสที่ตลาดหุ้นขึ้นน้อยที่สุด คือมีโอกาสเพียง45%ที่หุ้นขึ้นในรอบเกือบ20ปี

-ผลตอบแทนจากการลงทุนในไตรมาส 3 แย่ที่สุดคือติดลบ2.3% ขณะที่ไตรมาส 4 ดีที่สุดเป็นบวกราว6.3%

อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าไตรมาส3ปีนี้ดีทุบสถิติหลังผ่านไป2เดือน(กรกฎาคม-สิงหาคม) แต่อย่างไรก็ตามยังเหลือกันยายนอีกเดือนนะครับ ก็ไม่แน่ว่าไตรมาส3อาจยังรักษาสถิติยอดแย่ไว้ได้อีกปีก็เป็นไปได้

*ก่อนจะถึงOctober effect(ตุลาอาถรรพ์)

-ตลาดหุ้นมีJanuary effect คือมักไปขึ้นแรงๆในเดือนมกราคม ด้วยหลายเหตุผล เหตุผลหนึ่งคือคนไปซื้อเอาปันผลงวดสิ้นปี
-ตรงกันข้ามกันตลาดหุ้นมักร่วงแรงๆในเดือนตุลาคม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์The great depressionเมื่อ 80 ปีก่อน,เหตุการณ์Black Mondayในเดือนตุลาคม 2530 หรือในเดือนตุลาคม 2551ที่ผ่านมาที่ร่วงหนัก เหตุผลสำคัญของตุลาอาถรรพ์(October effect)ก็คือหลังการขึ้นXDจ่ายปันผลงวดครึ่งปีผ่านไปในปลายเดือนสิงหาคมแล้ว นักลงทุนก็ไม่ค่อยมีแรงจูงใจซื้อหุ้น ตลาดมักเริ่มตกในเดือนกันยายน และไปตกหนักในเดือนตุลาคม

-อย่างไรก็ตามจากสถิติในรอบเกือบ20ปีที่ผ่านมาก็บ่งชี้ว่า เดือนตุลาคมอาจถูกมองแง่ร้ายเกินความจริงหรือเปล่า? ด้วยเช่นกัน

-จากชาร์ตข้างต้นพบว่า สถิติในรอบเกือบ20ปีที่ผ่านมา ตลาดมักจะแย่ๆในเดือนสิงหาคมกับกันยายนมากกว่าเดือนตุลาคมเสียอีก

-ตามสถิติพบด้วยว่าย้อนหลังไปในรอบเกือบ 20 ปีนั้นเดือนที่มักให้ผลตอบแทนติดลบคือสิงหาคม กับกันยายน

4.อย่างไรก็ตามผลตัดสินคดีมาบตาพุดจะหนุนเครือPTT หรืออาจรวมทั้งSCC และแบงก์หนุนตลาดขึ้นมาปิดเกม-ตลาดอาจได้รับแรงหนุนให้ปรับตัวขึ้นจากข่าวนี้ ปัญหามีอยู่ว่าราคาได้ขึ้นมาล่วงหน้าก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังควรระวังแรงขายทำกำไรเมื่อข่าวจริงปรากฎ(sell on fact) เรื่องนี้ผมได้กล่าวอย่างละเอียดในคอลัมน์กระทิงทองส่องหุ้นในวันนี้

5.มุมมองต่อตลาด SET เจอhot moneyไหลเข้า น่าจะrallyยกสุดท้ายขึ้นไป เป็นไปได้ที่จะดีกว่าคาดไว้เขต925+/- แต่ก็จะไปพีคไม่เกิน หรือ970จุด+/-

ชาร์ต:ดัชนีSETรายสัปดาห์- ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาถึงเขตpeakเก่าที่เคยทำไว้ราวๆ925จุดตอนเดือนพฤศจิกายน 2550

เมื่อผ่านด่าน925เด็ดขาด ก็มีโอกาสที่จะแกว่งขึ้นไปเป้าหมายถัดไป ซึ่งผมเคยประเมินว่าเป็นกรณีดีเกินคาด นั่นคือด่าน 975จุด+/-(หรืออาจไปได้เพียงเขต960จุด+/-ก็ได้)

*ตลาดอยู่ในคลื่นที่5ซึ่งเป็นคลื่นแห่งความโลภหรือไม่?

ชาร์ตนี้ ผมประเมินว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะอยู่ในปลายคลื่นที่ 5 ซึ่งเป็นระลอกสุดท้ายของขาขึ้น ซึ่งธรรมชาติของคลื่นนี้ จิตวิทยาของนักลงทุนจะฮึกเหิม เต็มไปด้วยความโลภ และขานรับแต่ข่าวดี ทุ่มกำลังเข้าซื้อหุ้นด้วยความเพลิดเพลิน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายทะลัก(เมื่อวันศุกร์52,000ล้านบาทเศษ)ราคาหุ้นขึ้นชัน และเกินกว่าพื้นฐาน

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ผมยังต้องเตือนว่า ควรลดพอร์ตการลงทุนให้มาก ถือเงินสดมากขึ้น หากจะพัวพัยกับตลาดก็ไม่ควรเกิน30%ของพอร์ต ที่อาจพัวพันพวกPTT SCC PTTARที่ได้ประโยชน์จากมาบตาพุด เพื่อรอขาย เนื่องจาก

*โดยปกติcycleของตลาดหุ้นมักจะเริ่มลงในเดือนกันยายน ตามที่เขียนไปข้างต้น

*เงินไหลเข้าเป็นhot moneyหากค่าเงินบาทพีคเมื่อไหร่ ฝรั่งมันจะขายหุ้นไปเล่นดอลลาร์แทน ซึ่งตอนนี้อาจจะพีคแล้วหรือใกล้พีคเต็มทีสำหรับค่าเงินบาท(โดยเฉพาะตอนนี้รัฐบาลทำท่าออกมาตรการแทรกแซง ก็น่าระวัง)-โดยให้ดูตลาดหุ้นอินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ประกอบด้วยครับ เพราะอาการแบบเดียวกับไทย

*สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่าเกิดBullish divergence คือดัชนีหุ้นทำnew highแต่RSIเครื่องมือชี้วัดไม่ทำนิวไฮตาม(ท่านใดเคยมาเรียนกับผมคงเข้าใจดี หรือดูชาร์ตรายวันข้างบนนี้) และเกิดภาวะOver heat จับตามองหาก%Kในstochasticsขึ้นมาระดับ95% และที่สำคัญด่าน925ไม่หมูที่จะผ่านง่ายๆเพราะเป็นรูปแบบหัวและบ่าขนาดใหญ่มาก

*จับตาว่าหากมีเปิดโดดระดับ10จุดและเกิดpeak volumeแสดงว่าเกิดความโลภในบรรดาแมงเม่าแล้วก็เตรียมติดดอย (ควรเป็นว่าหากวันใดวันหนึ่งนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิหนักๆ อันนั้นแหละใช่เลย)
ข้อสังเกตคือหากเกิดวอลุมเกิน5หมื่นล้าน ถ้าแบบนี้โดยทั่วไปไม่เกิน2-3วันทำการ หรือเต็มที่1สัปดาห์จะพีคและเริ่มลง เรียกรูปแบบพีคนี้ว่าIsolate islandคือเปิดโดดสูงๆ วอลุมแมงเม่าแห่มาเต็ม แล้วก็ปล่อยเกาะ ติดเกาะ(อาการเดียวกับติดดอย)

*เมื่อพิจารณาจากทฤษฎีคลื่นElliot waveก็ขึ้นคลื่น5เป็นคลื่นแห่งความโลภแล้ว

*หากคนในตลาด8ใน10เชื่อว่าหุ้นดีมากๆและยังจะไปต่อ แสดงว่าคุณควรขาย เพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดไม่เคยถูก

*****ข้อนี้สำคัญที่สุด*****หากณัฐวุฒิเชียร์ขายหุ้นแล้วราคาหุ้นวิ่งต่อไป จะไปไม่เกิน1สัปดาห์ และจะพีค(ท่านสมาชิกที่อยู่กับผมมานานๆจะพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คือหากผมมองว่าหุ้นพีคแล้ว มันจะวิ่งเลยป้ายไปซักหน่อยทึกครั้ง)

*แล้วที่ฝรั่งอย่างCLSAมองว่าไป1200จุดหละ และมาบตาพุดก็จบเรื่องร้ายแล้วหละ? (ผมคิดว่าตลาดได้ซึมซับabsorbปัจจัยบวกไว้มากแล้ว กับอีกอย่าง1,200ก็อาจเป็นรอบหน้า เช่นรอบเดือนมกราคมก็เป็นไปได้ ทั้งนี้เว้นแต่ว่าในช่วงสัปดาห์นี้หรือหลายสัปดาห์ต่อจากนี้SETตีด่าน975จุดแตก ผมอาจเปลี่ยนไอเดียต่อตลาดเป็นบวกได้ใหม่...ตอนนี้ยัง!)

*สรุป-ทยอยขายทำกำไรขณะดีดตัวขึ้น(Sell on strength) และขายจนหมดพอร์ตหากขึ้นไปที่เขตเป้าหมาย 975+/-แล้วไม่ผ่าน หากจะพัวพันก็อาจเลือกหุ้นแบบPTTAR PTT เป็นต้น(ดูเพิ่มเติมในคอลัมน์กระทิงทอง)

5.SET50 เป้าพีค640 กรณีดีสุดชีวิต655จุด


สถานการณ์-ขึ้นดีกว่าเป้าที่ผมประเมินไว้ครับ เพราะผมประเมินเขตพีคของSETแถวๆ925 และSET50แถวๆ620+/- ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ปิด636.10จุด

แนวโน้ม-มีแนวต้านuptrend channelบริเวณ641จุดในวันนี้ กรณีไม่ผ่านก็อาจตกมาแนวรับ630+/-(หากหลุดจะเป็นสัญญาณเริ่มขาลง)แต่หากตีด่านต้าน641แตกก็จะวิ่งต่อไปเป้าหมาย655จุด(หมายความว่าSETไปต่อเขต960-975จุด)

ความเห็น-มีความเสี่ยงใกล้เขตพีคแล้ว จึงไม่ควรเล่นทางซื้อแล้ว ตอนนี้ก็คลำหาจุดพีคให้เจอ หากเป็นบริเวณ640+/-แน่ๆ และเริ่มมีสัญญาณลงชัดเจน จะได้แนะนำให้ขายเพื่อหากำไรขาลงต่อไป แต่ควรคาดไว้ก่อนว่าน่าพีคบริเวณนี้ และหรือ655+/-นี่แหละครับ(ยกเว้นใครไวจริงๆก็เข้าที่เชตแนวรับและไปปิดที่แนวต้าน)

**********
หมายเหตุ:ท่านที่อยากดูชาร์ตต้องสมัครสมาชิกเข้าไปดูได้ที่www.tontancorp.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น