วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คัมภีร์หุ้นไทย(19-21ธันวาคม):อารมณ์ไหน? ถามใจตัวเองให้ดี ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายในยามนี้



หนังสือราคาแพงที่สุดในประเทศไทย เปิดให้จองแล้ว(โทร081-8311611 เนื่องจากมีผู้โทรเข้ามาเยอะมากๆๆๆหากไม่ได้รับสาย เราจะโทรกลับสายmiss callของท่าน ควรใช้มือถือโทรมา) หรือแจ้งเบอร์อีเมล์ท่านมาที่tontan2008@gmail.com ด้วยผลงานที่พิสูจน์มาแล้ว คือคำตอบว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงควรจะแพง และใช้เป็นคู่มือประกอบการซืิ้อขายได้ตลอดปีมะเส็ง2556

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp


อาชีพแบบผมนี่จะฝืนๆความรู้สึกของคนนะครับ ตอนคนอารมณ์ดีเห็นหุ้นวิ่งกระฉูด ก็จะมีหน้าแบบผมนี่แหลมออกมาว่า ระวังจะติดดอยรอบนี้นะครับ(ซึ่งคนเขาก็ไม่ฟัง หาว่าขัดลาภ)

ตอนตกไปหนักๆผมจะแหลมหน้าออกมาฝืนความรู้สึกชาวบ้านว่า ตกสุดแล้วหละครับ ขายออกมาระวังรถหมูคว่ำนะครับ ใจเย็นๆครับ(ซึ่งคนฟังเขาก็ไม่ฟังหรอก เขาบอกกรูไม่ ขายคนอื่นมันก็ขาย)

ณ ตอนนี้คงต้องพิจารณาว่า อารมณ์จิตวิทยาผู้ลงทุนชักไม่เชื่อว่าตลาดจะตกปรับฐานจะวิ่งรวดเดียวไป1400สิ้นปีเลย(แม้แต่ผมตอนนี้ก็ชักคล้อยไปในทางเดียวกับตลาดว่าท่าทางจะขึ้นไปไม่มีพักฐานแล้ว หลังจากเห็นตลาดทำอาการผันผวนอย่างแรง แล้วดันกลับปิดไฮเมื่อวานนี้

(ซึ่งเมื่อผมมีอารมณ์ทำนองนี้ในอดีตแล้ว หุ้นก็มักวิ่งขึ้นแล้วพีค คราวนี้จะเหมือนเดิมไหม ผมรอดูอยู่)


อารมณ์นี้ ก็ประมาณนี้แหละครับ มากันบึ้มอยากซื้อ ไม่เห็นมันตกซักที....ถ้าอยากซื้อก็ไปหาตัวที่มันยังไม่ขึ้นนะครับ พอได้ แต่พวกที่เขาไล่ราคามาหลายวันหลายกิโลแล้ว ก็อย่าเลยครับ


จิตวิทยาของมวลชนมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างไร?

ในยามที่ตลาดสดใสภาวะกระทิง-มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมองโลกในแง่ดี(Optimism) จึงคิดจะซื้อหุ้น และเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ(Excitement) กระทั่งรู้สึกเสียวเพราะหุ้นขึ้นดีเหลือใจ(Thrill) และเมื่อหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มวลชในตลาดอิ่บอาบซาบซึ้ง(Euphoria)ว่าตลาดขาขึ้นคงจะมีอยู่ตลอดไป ลงไม่เป็นแล้ว

ในยามที่ตลาดขาลงตลาดหมี-หลังผ่านพ้นช่วงอิ่มอาบซาบซึ้งแล้ว ราคาหุ้นมักเริ่มตก เมื่อคนในตลาดส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นคงตกไม่เป็นแล้ว ช่วงแรกมวลชนในตลาดอาจจะแค่รู้สึกกังวล(Anxiety)กับการที่ราคาหุ้นเริ่มตก แต่ปฏิกริกายาในช่วงแรกๆมักจะปฏิเสธ(Denial)ว่าหุ้นไม่ควรตก เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆยังดีอยู่ ไม่เห็นมีอะไรแย่ แต่ราคาหุ้นก็ตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ฝูงชนกลัว(Fear) แต่ก็ยังไม่ยอมขายหุ้น ทว่าราคาหุ้นยังตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)

แต่แล้วพอหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เริ่มโงหัว ก่อให้เกิดความหวัง(Hope)ขึ้นมา และรู้สึกคลี่คลายลงคิดว่ามีมืดก็ย่อมมีสว่าง(Relief) และแล้วมวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นก็มองโลกในแง่ดี(Optimism)อีกวาระ และเวียนวนเป็นวัฏจักรไปเช่นนี้

ตามกฎ80:20นั้น มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นผู้แพ้ เสียหายในตลาดหุ้น เพราะเป็นคนที่แห่ตามๆกันไป ไปตามอารมณ์ ขณะที่เพียง20%เท่านั้นเป็นผู้ชนะ คน20%นั้นมียุทธวิธีลงทุนแบบชาวสวน(Contrarian) กล่าวคือเมื่อมวลชนส่วนใหญ่แห่ไล่ราคาหุ้นขึ้นมายอดดอย คนเหล่านี้จะถือเป็นโอกาสขายทำกำไร เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นขึ้นมาเกินกว่าราคาปัจจัยพื้นฐานมากๆ

ขณะเดียวกันเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก คนส่วนใหญ่แย่งกันขายหนีตาย คนเหล่านี้จะทยอยเก็บหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากราคาปัจจัยพื้นฐาน

ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวในตลาดหุ้น นอกจากการที่ท่านต้องรู้จักตลาดหุ้นเป็นอย่างดี รู้จังหวะเข้าออกเป็นอย่างดี ท่านยังต้องรู้จักอารมณ์และสภาพจิตใจของตนเอง และมวลชนในตลาดด้วย

ถามตัวเองว่า ตอนนี้ท่านอยู่ในช่วงอารมณ์ไหน...?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น