วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

คัมภีร์หุ้น Byณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์:เปิดสถิติฟันธง เลือกตั้ง24มีนาคมกับตลาดหุ้นไทย วิกฤตถอนรากคสช.หรือวิ่งแรลลี่รอบใหญ่ 2 ปี มีคำตอบ


ที่มา :สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 กุมภาพันธ์ 2562)----มีความกังวลกันอย่างแพร่หลายว่าการเลือกตั้งปีพ.ศ.2562จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง เนื่องจากการเลือกตั้งหนนี้ คล้ายกับการเลือกตั้งหลายหนที่ผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือ
เป็นการเลือกตั้งภายหลังการทำรัฐประหาร → ผู้นำกองทัพเป็นนายกรัฐมนตรีหรือผู้นำหลังรัฐประหาร → มีการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ผู้นำทางกองทัพได้เป็นผู้นำรัฐบาลต่อไป → เกิดความไม่เรียบร้อยราบรื่นในการเลิกตั้ง และนำไปสู่การประท้วงการก่อการจลาจล → ผู้นำกองทัพสิ้นอำนาจลงหลังการจลาจล
การเลือกตั้งเที่ยวนี้ มันเป็นการวนลูปเดิมไหม? และจะวนไปเข้าลูปไหน ลองย้อนดูประวัติศาสตร์กันนะครับ
วิกฤตการณ์เลือกตั้งสกปรกปีพ.ศ.2500 จอมพลป.พิบูลสงคราม และคณะรัฐประหารตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา → ชนะเลือกตั้ง → นักศึกษาเดินขบวนต่อต้านเลือกตั้งสกปรก → จอมพลป.โดนจอมพลสฤษดิ์ ปฏิวัติรัฐประหาร โดนเนรเทศ ไปตายที่ญี่ปุ่น
เลือกตั้งปีพ.ศ.2512 จอมพลถนอม กิตติขจร ที่สืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารต่อจากจอมพลสฤษดิ์ ตั้งพรรคสหประชาไทย → ชนะเลือกตั้ง → ต่อมาในปี2514 จอมพลถนอมรำคาญส.ส.และระบอบประชาธิปไตย เลยปฏิวัติรัฐประหารตัวเองยุบสภา → นศ.เดินขบวนขับไล่เรียกร้องรธน.ในเหตุการณ์14ตุลาคม2516 → จอมพลถนอมโดนขับไล่ไปต่างประเทศ
เลือกตั้งพ.ศ.2535/1 พลเอกสุจินดา และคณะรัฐประหารรสช.(ให้นอมินี)ตั้งพรรคสามัคคีธรรม → ชนะเลือกตั้ง มาเป็นนายกฯจากที่เคยบอกจะไม่เป็น → ปชช.เดินขบวนขับไล่ว่าพลเอกสุจินดาเสียสัตย์ เกิดเหตุพฤษภาทมิฬ พลเอกสุจินดาลาออก หมดอำนาจลง
เลือกตั้งพ.ศ.2550 พลเอกสนธิ บุณยะรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร คมช. ตั้งพรรคมาตุภูมิ ได้รับเลือกตั้งเพียงคนเดียว ตอนนี้ยุบไปเข้าพรรคลูกสาวนายบรรหาร
เลือกตั้งพ.ศ.2562 พลเอกประยุทธ์ และคณะรัฐประหาร(ให้นอมินี)ตั้งพรรคพลังประชารัฐèเลือกตั้ง2562 !?...
...
ความแตกต่างสำคัญของสถานการณ์ตอนนี้คือ ประชาชนในประเทศไม่เป็นเอกภาพ แต่แบ่งเป็น2ฝ่าย จึงไม่น่าจะมีการประท้วงใหญ่หลังเลือกตั้งให้เกิดเป็นจลาจล 
บรรยากาศสภาพแวดล้อมทางการเมืองในพ.ศ.นี้ ต่างไปจากปีพ.ศ.2500 ,ปีพ.ศ.2516 และพ.ศ.2535หละนะครับ คือถึงปี 2562 นี้แม้ว่าอาจจะเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกับ"การเลือกตั้งสกปรก"ที่เคยเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2500 หรือผู้นำรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารเสื่อมความนิยมลงแบบเดียวกับยุคจอมพลถนอม พลเอกสุจินดา แต่พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้นำกองทัพเวลานี้ ก็คงไม่ทำรัฐประหารลูกพี่ของตนเอง ยกเว้นแต่จะมีใบสั่งลึกลับมา 
จะเกิดปฏิวัติยึดอำนาจตัวเองแบบจอมพลถนอมในปี2514ไหม? ผมยังเผื่อทางสำหรับความเป็นไปได้ คือเกิดผลเลือกตั้งออกมาแล้ว มีพวกไม่เคารพผลเลือกตั้ง ก่อการจลาจลขึ้น พลเอกประยุทธ์ก็ประกาศม.44ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ย่อมจะได้ครับ แล้วก็ค่อยไปเผชิญวิบากกรรมข้างหน้าเอา 
จะเกิดเหตุแบบพลเอกสนธิไหม คือทหารแก่ไม่เคยตาย แต่ค่อยๆหายเลือนไปหรือเปล่า? ผมคิดว่าพลเอกประยุทธ์คงไม่ให้นอมินีตั้งพรรคพลังประชารัฐมาเพื่อแพ้เลือกตั้งหูรูด ได้ส.ส.มาคนเดียว แล้วหน้ามึนให้สว.250เสียงลงคะแนนให้ตนเป็นนายกฯหรอกครับ ถ้าแพ้หนักขนาดนั้นผมว่า คงจะยอมถอยนะ 
แล้วจะเกิดแบบพรรคสามัคคีธรรมในปี2535ไหม? รูปแบบหน้าตาคล้ายกันครับ แต่ผลลัพธ์ต่างกัน เพราะในคราวพลเอกสุจินดา เจ้าตัวไปประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พอกลับคำมารับ เลยโดนหนัก แต่ในกรณีพลเอกประยุทธ์นี่ก็เหลือแต่ยังไม่พูดว่า"ผมอยากเป็นต่อใจจะขาดแล้วครับ"เท่านั้นเอง จะมาหาเรื่องเดินขบวนไล่ว่าเสียสัตย์ก็ย่อมไม่ได้
อีกอย่างตัวแปรสำคัญที่คราวนี้ต่างไปจากคราวเลือกตั้งสกปรกปี2500 เหตุการณ์14ตุลาคม2516 และพฤษภา2535ก็คือ ในกาลครั้งก่อนนั้น ประชาชนมีความเป็นเอกภาพ และมีฉันทามติไปในทางเดียวกันคือปฏิเสธอำนาจของผู้เผด็จการ ผู้นำทางทหารที่ครองอำนาจในเวลานั้น ต่างไปจากเวลานี้ที่ประชาชนไม่ได้consensusกันแบบนั้น แต่แบ่งเป็น2ขั้วฝ่าย
คือมีประชาชนขั้วฝ่ายที่เอา กับฝ่ายที่ไม่เอาคณะรัฐประหาร
ฝ่ายที่สนับสนุน กับฝ่ายต่อต้านทักษิณ
ผมจึงไม่คิดว่าจะจบที่วนลูปเดิม คือผู้นำทางทหารจะหมดอำนาจลงเมื่อมีการเลือกตั้ง(จะเพราะยอมถอยไปเองเพราะแพ้ หรือเกิดเลือกตั้งสกปรกเลยโดนไล่ หรือทำอะไรน่าเกลียดมากจนคนต้องเดินขบวนไล่)
แต่หากไม่น่าเกลียดเกินงาม ก็คงไม่มีม็อบใหญ่แบบพฤษภาทมิฬ 2535 นั่นก็เพราะว่า มีสัญญาณชัดเจนมาแล้วว่า...
นั่นก็คือว่าทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันมีฉันทามติร่วมกันประการหนึ่งว่าจะไม่ก่อม็อบ ก่อการประท้วงที่อาจบานปลายเป็นเหตุจลาจลทางการเมืองได้ หรือหากมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกับการเลือกตั้งสกปรก และทำท่าจะลุกลามมีม็อบมีการจลาจล ก็อาจมีการแทรกแซงจากชนชั้นนำ เช่นการจัดให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ให้เรียบร้อย หรือเพื่อถ่ายโอนอำนาจไปยังรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ยอมรับกันได้ เป็นต้น
อีกประการคือในปีพ.ศ.2562 นั้นจะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในระหว่างวันที่ 4 -6 พฤษภาคม 2562 อันเป็นพระราชพิธีสำคัญยิ่ง พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่ล้วนมีความจงรักภักดีต่างก็พร้อมใจกันถวายพระพรชัย บรรยากาศเหตุการณ์บ้านเมืองย่อมจะเป็นไปด้วยความปิติสุข ปราศจากเรื่องไม่เป็นมงคลทั้งปวง
แบบจำลองของElection Rally หากการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
ก็จะมีรอบวัฏจักรของตลาดดังนี้
*ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นั้น คาดว่าข่าวการเลือกตั้งจะมีผลต่อตลาดอย่างจำกัด เนื่องจากความไม่ชัดเจนว่าใครจะแพ้ ชนะ อาจมีผลต่อหุ้นบางกลุ่มที่อาจมีการเก็งกำไรรับข่าวเลือกตั้งบ้าง เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มได้ประโยชน์จากEEC และการบริโภคในประเทศ
*มีนาคม2562 ช่วงสุกดิบก่อนการเลือกตั้ง ราวเกือบเดือน หรือ1ถึง2สัปดาห์ หากคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง(ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับฝ่ายที่ต่อต้าน) ตลาดหุ้นจะซึมรอความชัดเจน
แต่หากแปรเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งรุนแรง เช่น การบอยคอตต์การเลือกตั้ง การเดินขบวนชุมนุมต่อต้านการเลือกตั้ง หรือบานปลายไปเป็นจลาจล ก็จะทำให้ตลาดหุ้นตก (อย่างไรก็ตามผมประเมินไว้ดังข้างต้นว่า ไม่น่าจะนำไปสู่การจลาจล หรือบอยคอตต์การเลือกตั้ง หากไม่เกิดเหตุการณ์ประเภทที่ว่าโกงการเลือกตั้งกันจนน่าเกลียด มีหลักฐานที่ชุดชนวนให้คนออกมาประท้วง ก่อการจลาจลได้ เนื่องจากการเลือกตั้งหนนี้เป็นฉันทามติร่วมกันของทุกฝ่าย และอยู่ในช่วงใกล้จะมีพระราชพิธีสำคัญของประเทศ)
*หลัง24มีนาคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นในช่วงHoneymoon Period ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร? ซึ่งผลของการเลือกตั้งจะเป็นไปใน3ทางนี้คือ

ทางที่1 พรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ มีเสียงมากพอเมื่อรวมกับสว.250เสียง ทำให้พลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป สูตรนี้ตลาดหุ้นน่าจะชอบที่สุด การเมืองจะมีเสถียรภาพ (ยกเว้นว่าโกงการเลือกตั้งจนน่าเกลียดมากๆ คนเลยประท้วง เกิดจลาจลวุ่นวายบานปลาย)

ทางที่ 2 พรรคการเมืองที่ต่อต้านพลเอกประยุทธ์ มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ เช่น พรรคเครือข่ายที่สนับสนุนดร.ทักษิณ ชินวัตร จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอื่นๆจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เป็นสูตรที่ตลาดหุ้นชอบรองลงมา (ถ้าหากไม่เกิดการประท้วงและก่อการจลาจล จนนำไปสู่การทำรัฐประหารอีกรอบใหม่)

ทางที่3 การเลือกตั้งนำไปสู่ความขัดแย้งวุ่นวาย เกิดการเดินขบวนประท้วง การก่อการจลาจล การปราบปรามจลาจล และนำไปสู่การรัฐประหารครั้งใหม่ เป็นสูตรที่จะสร้างผลเสียหายต่อตลาดหุ้นมากที่สุด (ซึ่งในชั้นนี้ผมประเมินว่าไม่น่าจะมี ดังเหตุผลที่ได้นำเสนอไปแล้ว) 
บทสรุป-ได้ลุ้นเปลี่ยนวิกฤตการเมืองไปเป็นข่าวดี ลุ้นวิ่งยาว2ปีซ้ำรอยเลือกตั้ง3ครั้งก่อน

แล้วหลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และหลังจากเดือนพฤษภาคม 2562 ไปแล้ว ตลาดหุ้นจะเกิด Long Election Rally ยาวไปราว 2 ปี เหมือนกับตอนเลือกตั้งปีพ.ศ.2535/2 ปีพ.ศ.2544 และ 2554 หรือไม่ ก็ให้พิจารณาว่าเข้ากับองค์ประกอบที่เป็นโมเดลนี้ไหม นั่นก็คือ 
ประการแรก-การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นฉันทามติร่วมกันว่าจะเป็นทางออกของประเทศ จากวิกฤตการเมือง หรือวิกฤตเศรษฐกิจ (ซึ่งในการเลือกตั้งปี2562นี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีองค์ประกอบข้อนี้)
ประการที่สอง-การจัดเลือกตั้งเป็นไปด้วยความราบรื่นเรียบร้อย เป็นที่ยอมรับของผลการเลือกตั้ง(ซึ่งการเลือกตั้งปี2562ก็ต้องจับตาดูว่าจะเป็นไปในลักษณะนี้ หรือเกิดความวุ่นวายบานปลาย)
ประการที่สาม-การจัดตั้งรัฐบาลได้นายกรัฐมนตรีที่ยอมรับกันได้ หรือไม่น่าเกลียดกันมาก รัฐบาลมีเสถียรภาพ และนำประเทศให้มีเสถียรภาพ
ประการที่สี่-มีนโยบายต้อนรับทุนต่างประเทศ หรือเป็นสถานที่ที่ทุนต่างประเทศเลือกเข้ามาลงทุน
         หากการเลือกตั้งในปีพ.ศ.2562 มีองค์ประกอบครบ4ข้อนี้ หรือหลายข้อใน4ข้อนี้ ก็ให้สันนิษฐานว่าตลาดหุ้นไทยจะมีวิ่งแรลลี่ขึ้นภายหลังการเลือกตั้งใหญ่ปี2562 และหากสถิติซ้ำรอย ตลาดหุ้นไทยจะวิ่งแรลลี่ยาวไป 2 ปี คือในปี2562 ไปจบในปี2563 ส่วนจะขึ้นไป65% หรือ300-400%แบบในอดีต 3 ครั้งที่ผ่านมา ขึ้นกับว่าองค์ประกอบทั้งสี่นั้นมีน้ำหนักไปทางบวกมากเพียงใดนะครับ แต่นี่คือโอกาสที่เราจะรวยในรอบนี้
 .............................(ล้อมกรอบประกอบบทความ).............
อะไรคือ Long Electoin Rally ปรากฏการณ์วิ่งยาวหลังจบเลือกตั้ง แล้วครั้งนี้หละ จะวิ่งแบบนี้ไหม?
มีอยู่ 3 หนที่ว่าภายหลังการเลือกตั้งแล้ว ตลาดหุ้นไทยขึ้นยาวนานถึง 2 ปี นั่นก็คือ        *ครั้งแรก-การเลือกตั้งหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปีพ.ศ.2535 -เป็นการเลือกตั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬพ.ศ.2535 เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์จลาจลทางการเมือง และการสิ้นอำนาจของกองทัพและคณะรัฐประหารรสช.นำโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร
หลังการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์มีชัยชนะ นายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลมีเสถียรภาพพอสมควรนโยบายเศรษฐกิจเปิดเสรีและต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้า(Fund in flow)
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปจบในต้นปี2537 หรือขึ้นไปยาว2ปี โดยดัชนีSETขึ้นจาก600ไปพีคที่1789จุด  หรือขึ้นไปมากเกือบ 3 เท่าตัว        *ครั้งที่ 2 การเลือกตั้งปีพ.ศ.2544 -เกิดขึ้นภายหลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตกปีพ.ศ.2540 และภายหลังจากมีการปฏิรูปการเมือง การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เรียกกันว่า ฉบับประชาชน ส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง สามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้ พรรคใหญ่จัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้

พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น คุณทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีเสถียรภาพมาก นโยบายเศรษฐกิจเปิดเสรี แปรรูปรัฐวิสาหกิจใหญ่กำไรดีอย่าง ปตท.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้า(Fund in flow)  ดัชนีหุ้นไทยฟื้นจากเขต 250 จุดขึ้นไปสูงสุดในปี2544 ขึ้นไปราว 2 ปี ไปจบในตอนต้นปี2547 ที่800จุด หรือเป็นการวิ่งขึ้นหลังเลือกตั้งเกือบ 4 เท่าตัว         

*ครั้งที่ 3 การเลือกตั้งปีพ.ศ.2554-เกิดขึ้นภายหลังจากความแตกแยกทางการเมือง ของ 2 ขั้วการเมืองที่นิยมคุณทักษิณ กับฝ่ายต่อต้าน และการจลาจลทางการเมืองของกลุ่มมวลชนที่ต่อต้าน และสนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในช่วง1-2ปีก่อนหน้านั้น(มีม็อบพันธมิตรที่ลงเอิยด้วยการปิดสนามบินปี2551 ม็อบเสื้อแดงที่นำไปสู่การล้มประชุมASEMพัทยาปี2552 และม็อบเสื้อแดงที่นำไปสู่การจลาจลเผาห้างสรรพสินค้า และการปราบปรามผู้ประท้วงในปี2553)ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนคุณทักษิณชนะเลือกตั้ง ได้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี การเมืองมีเสถียรภาพพอสมควรในระยะต้นเกือบ 2 ปีแรกของรัฐบาล   
      
รัฐบาลมีนโยบายว่าแก้ไขไม่แก้แค้น เน้นพัฒนาเศรษฐกิจ ทุนต่างประเทศไหลเข้า(Fund in flow) เหตุมาจากวิกฤตเศรษฐกิจHamburgerของสหรัฐอเมริกา ทำให้ทุนไหลออกจากอเมริกามาภูมิภาคอาเซียน    

ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากเขต 1,000จุด ขึ้นไปสูงสุด 1,650 จุด ในปี 2556 หรือขึ้นยาวกว่า 2 ปี มากกว่า 65% ก่อนจะหยุดการปรับตัวขึ้น เมื่อฝ่ายรัฐบาลผิดพลาดทำในสิ่งที่เรียกกันว่า”นิรโทษกรรมสุดซอย” ทำให้มีการก่อการประท้วงใหญ่ของฝ่ายค้าน นำโดยกปปส. และมาจบลงด้วยการก่อรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557            ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากเขต 1,000จุด ขึ้นไปสูงสุด 1,650 จุด ในปี 2556 หรือขึ้นยาวกว่า 2 ปี มากกว่า 65% ก่อนจะหยุดการปรับตัวขึ้น เมื่อฝ่ายรัฐบาลผิดพลาดทำในสิ่งที่เรียกกันว่า”นิรโทษกรรมสุดซอย” ทำให้มีการก่อการประท้วงใหญ่ของฝ่ายค้าน นำโดยกปปส. และมาจบลงด้วยการก่อรัฐประหารยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557     
ที่มา:บทความนี้คัดมาจากส่วนหนึ่งจากหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทย2562 โอกาสทองต้องรวย โดยณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
 สมัครเมมเบอร์ตอนนี้ รับฟรีทันที
1.งานอบรมกราฟเทคนิคหุ้นแม่นขั้นเทพ หลักสูตรหัวกะทิ รอบสอง วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
2.”คู่มือตลาดหุ้นไทยปี 2562 โอกาสทองต้องรวย" เขียนโดยณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงชัดๆว่า ต้องจัดพอร์ตการลงทุนรับโอกาสทองครั้งสำคัญในรอบ10ปีนี้อย่างไร พร้อม5+2หุ้นเด่นเล่นให้รวย
สั่งจอง หรือสอบถามเพิ่มเติม สั่งซื้อหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทยปี2562 โอกาสทองต้องรวย หรือสมัครเมมเบอร์ รับหนังสือฟรี ที่
Line@ : @TONTANCORP
คลิ้ก
ฉบับรูปเล่มเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่ง เหลือไม่เกิน10เล่มเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น