วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

จัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์ที่โอกาสขาขึ้นมีจำกัด ความเสี่ยงของขาลงมีเพียบ


คัมภีร์หุ้นไทย(13ก.ย.):จัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ในสถานการณ์ที่โอกาสขาขึ้นมีจำกัด ความเสี่ยงของขาลงมีเพียบ

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com

1.ปัจจัยเฝ้ามอง ยังต้องติดตามค่าเงินบาทแข็ง และระวังมาตรการสกัดค่าเงินบาท อาจกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุน

สถานการณ์-เงินทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้าต่อเนื่องมาเก็งกำไรในตลาดหุ้น และการลงทุนอื่นๆ ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ล่าสุดเช้านี้อยู่บริเวณ30.74บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ภาคการส่งออกเริ่มออกมากดดันรัฐบาลว่า หากค่าเงินแข็งมากกว่าระดับ30บาท จะกระทบต่อยอดการส่งออกระดับแสนล้านบาท

ก็ควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดด้วย เพราะหากรัฐออกมาตรการที่แรงๆช็อกตลาด จะมีผลลบต่อตลาดหุ้นได้มาก แต่หากยังไม่มีมาตรการอะไรใหม่ๆก็ไม่เป็นไรครับ

มุมมองเทคนิคเกิดสัญญาณBearish divergence-อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากชาร์ตค่าเงินบาท พบค่าสัญญาณRSIได้เกิดBearish divergence (กล่าวคือขณะที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นทำสถิติใหม่นั้น สัญญาณRSIกลับไม่ขึ้นทำnew highไปด้วย)

แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆคือ หากเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่ามีสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่ๆ คือหลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องก็ใกล้เต็มทีแล้วที่จะอ่อนตัวลงในระยะต่อไป (อาจเกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลอาจถูกภาคส่งออกกดดันให้ออกมาตรการแรงๆเพื่อสกัดค่าเงินบาทแข็ง และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนได้)

ช่วงนี้มีแนวต้าน30.60บาท+/- แนวรับ31.10บาท+/- หากทะลุแนวรับลงไป ก็อาจได้เห็นค่าเงินบาทเริ่มอ่อนลง

2.ตลาดหุ้นTIP(ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์)กับHot moneyรอบนี้ทำให้ราคาขึ้นนิวไฮ ทำให้ราคาหุ้นไม่ถูกแล้ว

สถานการณ์-ประเด็นสำคัญคือเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรปแย่ ดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง หรือยังขึ้นไม่ได้ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดี GDPขยายตัว อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่งผลให้เงินทุนจากโซนอเมริกา และยุโรปไหลเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย รวมทั้งมาเล่นหุ้นเก็งกำไร

อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตคือ เม็ดเงินร้อนที่ไหลมาทางเอเชีย หากสังเกตให้ดีจะพบว่าไม่ได้มาทุกตลาดนะครับ จะมาเฉพาะโซนที่ฝรั่งเรียกว่าTIP-Thailand ,Indonesia, Philipines เท่านั้น จากชาร์ตด้านบนจะพบว่าหน้าตาของ3ตลาดหุ้นนี้คล้ายๆกัน ขณะที่ตลาดอื่นๆไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลย์ ญี่ปุ่นฯลฯนั้น ยังไม่ได้ขึ้นมาขนาดนี้นะครับ

โดยล่าสุดทั้ง 3 ตลาดได้ขึ้นทำnew highแล้ว เมื่อเทียบกับพีคเก่าที่เคยทำไว้เมื่อราวเดือนตุลาคม ปี2550 ซึ่งตอนนั้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียทำพีคที่2838จุด ล่าสุดขึ้นมาที่3230จุด ส่วนฟิลิปปินส์เคยทำพีคไว้ที่3896จุด ตอนนี้ขึ้นมานิวไฮที่3960จุด ส่วนหุ้นไทยเคยทำพีคไว้แถว925จุด ตอนนี้ขึ้นมานิวไฮเกิน925จุด

เรื่องนี้ก็ทำให้ตลาดหุ้นTIPต่างก็ขึ้นมาสูงที่สุดในโลก (อินโดนีเซีย +182% จากจุดต่ำสุด, ฟิลิปปินส์ +102% จากจุดต่ำสุด และหุ้นไทย +130% จากจุดต่ำสุด)

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เปรียบในแง่ราคาถูกอย่างแต่ก่อนแล้ว เพราะตอนนี้ค่าP/Eของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 12.9 เท่า อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นภูมิภาคที่ 12.6 เท่าแล้ว หรือเท่ากับ +3% เมื่อเทียบกับในอดีตรอบ 5 ปีที่ซื้อขายที่ Forward PER เฉลี่ยต่ำกว่าราว -26% ขณะเดียวกัน Forward PER ทะลุระดับ 1 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (+1SD) ที่ 12.4 เท่าแล้ว

ข้อพิจารณาสำคัญ-ก็คอยจับตาดู3ตลาดนี้นะครับ น่าไปทางเดียวกัน คือหากทำนิวไฮก็ยังไปต่อด้วยกัน แต่หากจะพีครอบนี้ก็น่าจะไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน เพราะมีอิทธิพลจากhot moneyด้วยกัน

3.ระหว่างเป้าหมายขึ้นทำนิวไฮ975จุด กับการหมดรอบพีคและลง อันไหนมีโอกาสมากกว่ากัน? และระหว่างความเสี่ยงกับโอกาส อันไหนมากกว่ากัน?

สถานการณ์-ในชาร์ตรายเดือน ซึ่งเป็นภาพระยะกลางของSET กำลังทดสอบแนวต้านพีคเก่า925จุด ซึ่งหากผ่านได้ก็จะขึ้นไปแนวต้านเป้าหมายถัดไป คือแนวต้านuptrend chhhannelบริเวณ975จุด+/- แต่อย่างไรก็ตามหากสัปดาห์นี้เกิดลงทำนิวโลว์ต่ำกว่าเขต915จุดก็เสี่ยงจะตกเป็นขาลง

ข้อพิจารณาเป็นดังนี้

ก.ในทางบวก หากขึ้นดัชนีหุ้นอาจไปได้แถวๆ975จุด หรือมีupside gainราวๆ50จุด
ข.ในทางลบ หากหลุดด่าน915จุด ก็เสี่ยงตกลงไปแถวๆ800-750จุด หรือมีdown side riskอยู่ราวๆ125จุดเป็นประมาณ


กลยุทธและการจัดพอร์ตการลงทุนช่วงนี้-เมื่อสรุปว่า ความเสี่ยงมากกว่าโอกาส ก็เป็นธรรมดาว่าควรที่จะลดน้ำหนักการลงทุนให้น้อยลง เช่น อาจมีพอร์ตลงทุนในหุ้นไม่เกิน50%หรือต่ำกว่านี้ และถือเงินสดให้มากขึ้น เช่น อาจมีเงินสดเกินกว่า50%หรืออาจจะระดับ70-80% หากจะพัวพันในหุ้นก็อาจราว20-30% หรือไม่เกิน50% เพราะความเสี่ยงมากขึ้น

หากจะพัวพันมีหุ้นก็อาจพิจารณาหุ้นอย่างPTTAR TTA QH อย่างนี้เป็นต้น โดยรอไปขายทำกำไรหากSETขึ้นไปด่าน975จุด แต่หากSETหลุดต่ำกว่าด่าน915จุดลงไปก็ควรพร้อมจะขายรักษาทุน เพราะมีความเสี่ยงเข้าสู่ขาลง

4.SET50 ระหว่างความเสี่ยงกับโอกาส

แนวโน้ม-สัปดาห์นี้มีแนวต้าน645จุด หากผ่านก็จะไปด่านถัดไป650ไม่เกิน655จุด ในทางตรงกันข้ามหากไม่ผ่านด่านแรก645และหรือลงไปหลุดต่ำกว่าเขต630จุด ควรระวังว่าหากหลุดแนวรับก็จะเริ่มเป็นทิศทางขาลงรอบใหญ่ได้ คือลงไปอย่างน้อยๆแถว600จุด หรือกระทั่ง570จุด

พิจารณาดังนี้

ก.ในทางขาขึ้นมีupsideคือช่วงขาขึ้นอาจเพียง10-20จุด
ข.ในทางลง มีความเสี่ยงขาลงมากถึง35-65จุด


กลยุทธ์การลงทุน-เมื่อพิจารณาว่าโอกาสของขาขึ้นมีจำกัด ขณะที่ความเสี่ยงของขาลงมาก ก็ไม่ควรเน้นเทรดขาขึ้นแล้ว หากมีหุ้นก็อาจขายทำกำไรหากขึ้นไปเขต645หรือ650จุด ในทางกลับกันหากลงไปต่ำกว่าเขต630จุดเด็ดขาด อาจขายเพื่อทำกำไรขาลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น