วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มุมอินไซด์(7ก.พ.):คู่มือพลิกวิกฤตพิชิตตลาดเป็นโอกาสทองในการลงทุน (Higher risk , higher return !)เวลามีข่าวสงครามและข่าวร้ายต่างๆ


สำคัญมันอยู่ที่"ใจ"-งานอบรมเล่นหุ้นให้รวยปี54 เปิดรอบใหม่วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ "สารพันข่าวร้าย สงคราม,ม็อบยึดเมือง,ข่าวลือปฏิวัติซัดหุ้นตก ทำไงไม่เจ๊งหุ้น เคล็ดลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาสรวยหุ้น" เนื้อหาเหมาะกับมือใหม่ที่หัดรวย มือเก่าที่ยังสะเปะสะปะไม่รู้หลักวิธี และทีเด็ดเคล็ดลับพลิกวิกฤตข่าวร้ายเป็นโอกาสรวยที่พิสูจน์มาแล้วนานนับสิบปี ไม่เคยมีสอนที่ไหน ส่วนการอบรมเรียนกราฟขั้นเทพ เหมาะกับท่านที่นิยมเก็งกำไรนะยะสั้น,เก็งกำไรTFEXและทองคำล่วงหน้า กะเรียนเสร็จเอาไปใช้งาน ไม่งั้นเสียดายตังค์กับเสียเวลาเปล่าๆ มีวันที่ 27 กุมภาพันธ์ สำรองที่นั่งหรือสอบถามเพิ่มเติม 02-9275800

**********
โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
******

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888 บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด โทร.029275800 เวบไซต์ www.tontancorp.com

1.คู่มือพลิกวิกฤตพิชิตตลาดเป็นโอกาสทองในการลงทุน (Higher risk , higher return !)เวลามีข่าวสงครามและข่าวร้ายต่างๆ

*ข่าวเรื่องพิพาทไทยVSกัมพูชา ที่ทำให้มีการเปิดการสู้รบตามแนวชายแดนเมื่อวันศุกร์ ส่งผลให้ตลาดช่วงท้ายร่วงลง แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงแล้ว แต่การสู้รบยังมีต่อเนื่องตามมา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศยกระดับไล่รัฐบาล โดยวันศุกร์ที่ 11 ก.พ.นี้จะเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ที่ไม่เปิดเผย และก่อให้เกิดความวิตกว่าอาจเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลตามมาหรือไม่

โดยทั่วไปข่าวร้ายทำนองนี้จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ

1.ตกหนักในช่วงแรก-เนื่องจากความวิตกของนักลงทุนต่อข่าวร้าย จากการคาดการณ์ผลในทางร้ายแรงที่สุด จึงเกิดpanic sell(ในช่วงนี้นักลงทุนไม่ควรสวนกระแสเข้าซื้อหุ้น หากมีกำไรก็ขายตามน้ำได้เลย)

2.ซึมตัวระหว่างรอข่าวที่ชัดเจน-ระหว่างรอข่าวที่ชัดเจน เช่น ทหารไทยกับเขมรจะยิงกันต่อ หรือหยุดยิง หรือจะมีฝ่ายที่สามเข้ามาเจรจาหรือไม่? ตลาดหุ้นจะซึมตัว วอลุมจะหดหายบางตา เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น (หากนักลงทุนเห็นซึมตัวไประยะ เช่น 2-3วันหรือเป็นสัปดาห์ก็ยังซึมๆ น่าสนใจเริ่มเข้าช้อนซื้อหุ้น)

3.ปรับตัวขึ้นและมักขึ้นไปทำนิวไฮเสมอ-ช่วงที่สามเมื่อเกิดความชัดเจนแล้ว เช่น หยุดยิงแล้ว หรืออะไรที่ชัดเจน หรือพันธมิตรม็อบแล้วชัดเจนว่าจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ได้ ทหารจะรัฐประหารหรือไม่ ช่วงนี้หุ้นก็จะขึ้น และมักขึ้นไปทำนิวไฮเสมอ(หากชัดเจนและหุ้นเริ่มวิ่งขึ้น น่าซื้อหุ้นตาม เพราะหุ้นมักขึ้นแรง และจะกลับไปทำนิวไฮเสมอ เช่นรอบก่อนมีพีคที่1056 รอบใหม่ก็จะไปเกินด้านนี้เมื่อจบข่าวร้ายแล้ว)

สรุปความเห็น:กรณีล่าสุดนี้อาจรอดูหน่อยว่า ตลาดอยู่ในช่วงไหนแน่ อยู่ในระยะที่1คือpanic sell หรือเข้าสู่ช่วงสองคือซึมตัว กรณีที่น่าสนใจเข้าซื้อหุ้นก็ต้องรอตอนซึมตัว หรือเหตุการณ์ชัดเจนแล้วเข้าซื้อตามน้ำครับ


บทเรียนนี้ที่ไม่มีในตำราเรียน เซียนหุ้นมืออาชีพที่โชกโชนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ บทนี้เขียนจากประสบการณ์ตรงของผมเอง และช่วยพลิกวิกฤตการณ์อันเลวร้ายให้นักลงทุนรวยหุ้นมามากแล้ว

I.อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ

คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ร้อยทั้งร้อยนั่นแหละครับที่คิดจะมา”เอากำไร” ไม่มีใครที่คิดจะมา”เสียเงินหรือขาดทุน”หรอกครับ แต่หากมันง่ายยังงั้น ก็คงจะรวยกันหมดทุกคนแล้ว

เราก็คงจะไม่ได้ยินว่ามีคนเจ๊งหมดตัวไปจากตลาดหุ้น ทั้งนี้ก็เพราะตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่แม้จะให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเป็นเงาตามตัว(High risk, high return) แถมเป็นแหล่งลงทุนที่ไม่รับประกันเงินต้นให้ใครด้วย

หลักการเรื่องHigh risk,High return เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปครับ ...แต่นั่นเป็นการพูดเรื่องความเสี่ยงปกตินะครับ ทางวิชาการเรียกว่าความเสี่ยงเชิงระบบ(Systemetic Risk) เช่น เรื่องภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน เป็นต้น และความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทจดทะเบียนรายนั้นๆ(Uniqe Risk)

นี่เป็นเรื่องที่คนที่ตัดสินใจเข้ามาเล่นหุ้นต้องยอมรับกติกาครับ เสมือนพังเพยโบราณว่า”อยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นมันไม่ได้มีแค่นั้นนะสิครับ เพราะนอกจากจะต้องเจอSystemetic Risk และ Uniqe Risk ให้ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่แล้ว ตลาดหุ้นยังต้องเจอสารพัดวิกฤตการณ์กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาอีก

วิกฤตการณ์ที่ว่านี้ ไล่เรียงตั้งแต่เบาๆไปหนักหนาสาหัสก็เช่น วิกฤตการณ์ทางการเมือง ตั้งแต่ความขัดแย้งของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปจนถึงขั้นการแตกหักด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร การชุมนุมประท้วง การก่อการจลาจล สงครามกลางเมือง ไปยันรับกรรมจากสงครามระหว่างประเทศ สงครามโลก

เรียกได้ว่าวิกฤตการณ์ต่างๆเหล่านี้ได้ฉุดเอาตลาดหุ้นไปสู่ความเสี่ยงที่สูงไปกว่าปกติธรรมดา ซึ่งก็แน่นอนครับว่า ในด้านกลับกัน มันก็จะเป็นโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าภาวะปกติด้วยเช่นกัน(Higher Risk,Higher Return)

II.รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งบ่มิพ่าย:รู้จักวงจรอุบาทว์ตลาดหุ้น รู้จักใจตนเอง

ในทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ มนุษย์เป็นคนที่มีเหตุผล คำนึงถึงอัตประโยชน์ การลงทุนจึงต้องคำนึงถึง “ของจริง”คือปัจจัยพื้นฐาน

ในทางจิตวิทยา แรกผลักดันของความกลัว vs ความโลภ มนุษย์ไม่มีเหตุผล ถูกอารมณ์ครอบงำ ตลาดหุ้นผันผวนสูง ตลาดผันผวนสูง (volatile) การลงทุนจึงต้องคำนึงถึง “ของเทียม” คือจิตวิทยามวลชน(mass phycology)ในตลาดหุ้นด้วยเป็นสำคัญ


Investor Emotion Through A Market Cycle















Source:Frank Russell Company


ในยามตลาดขาขึ้น คนในตลาดมักจะเต็มไปด้วยคนที่มองโลกในแง่ดี (optimism) คนที่ไม่เคยเล่นหุ้นก็แห่เข้ามา
- มีแต่ความตื่นเต้น (excitement) กับการเล่นตัวนั้นออกตัวนี้
- แม้กระทั่งหุ้นที่วิ่งขึ้นมาชันโด่งไร้ปัจจัยพื้นฐานก็ยังพากันเล่นไปเสียวไป (thrill)
- แถมยังตกอยู่ในภวังค์แห่งฝัน (euphouia) ว่าหุ้นคงจะขึ้นลูกเดียว ลงไม่เป็น ใครต่อใครก็แห่มาเล่นหุ้น จนมูลค่าซื้อขายทะลักทะลายวันละ 5-6 หมื่นล้านบาท หนังสือพิมพ์สื่อมวลชนพากันประโคมโหมข่าวถึงความสดใสในตลาดหุ้นกันเอิกเกริก


ในยามขาลง - โดยเฉพาะยามที่ตลาดหุ้นเผชิญวิกฤตการณ์ต่างๆสารพัด ก็มักจะเริ่มต้นจากการที่มีประเด็นให้เกิดความกังวลใจ (anxiety) กันขึ้น เช่นเมื่อตอนต้นปี2547 ตอนที่หุ้นวิ่งขึ้นไปถึง 800 จุด ก็มีเสียงเตือนหนาหูว่าหุ้นขึ้นมาแพงฟองสบู่จะมาเยือนอีกหน แบบนี้รัฐบาลต้องมีการควบคุมการเก็งกำไรกันแล้ว

- แรกๆ คนในตลาดจะปฏิเสธ (denial) ต่อข่าวเชิงลบนี้แม้ว่าหุ้นจะเริ่มตกลงมาแล้วต่อมาก็จะเปลี่ยนเป็นความกลัว (fear) เมื่อพบว่าทางการชักจะเอาจริงในเรื่องควบคุมการเก็งกำไร
- แรงกดดัน (depression) อย่างหนักที่ทำให้หุ้นตกเกิดขึ้นเพราะข่าวร้ายปรากฏเป็นจริง อาทิการที่นายกฯ เผยว่าจะควบคุมเจ้าของหุ้นด้วยการตรวจสอบบัญชี บจ. ทุก 3 เดือน ตามมาด้วยข่าวไข้หวัดนกระบาด การก่อการร้ายที่คุกคามสันติภาพของโลก ราคาน้ำมันพุ่ง ดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนลง
- ซึ่งปัจจัยลบเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหันมาเป็นผู้มองโลกในแง่ร้อย (pessimism) มองไม่เห็นความหวังใดๆ รออยู่ข้างหน้า มูลค่าซื้อขายที่เคยคึกคัก 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน หดตัวเหลือไม่ถึงหมื่นล้านบาทต่อวัน
- หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนต่างพากันโหมกระพือข่าวร้าย ราคาหุ้นก็จะตกลงมาเรื่อยๆ จนทำให้นักลงทุนผู้สิ้นหวังตกใจกลัว (panic)
- ความตกใจกลัวเพื่อหนีตายดังกล่าว มักจะทำให้นักลงทุนตกอยู่ในภาวะยอมจำนน (capitulation) ขายหุ้นออกมาในราคาขาดทุนเสียหายในระดับ 40-50% ของเงินต้นก็ยังต้องยอม
- พอขายทิ้งแล้วก็จะรู้สึกหดหู่ท้อแท้ (despondency) อยากเลิกเล่นหุ้นไปชั่วชีวิต
- แต่ท่านเชื่อหรือไม่? คนที่พัวพันอยู่กับตลาดหุ้นนั้นจะเกิดภาวะสิ้นหวัง (desperation) ได้ไม่นานนักหรอก เพราะเมื่อขายหมู/ขายด้วยความตกใจและนั่งสิ้นหวังอยากบอกตลาดหุ้นไปไม่ทันไร
- ตลาดหุ้นก็มักจะตกถึงจุดต่ำสุดแล้วเด้งตัวขึ้นให้เกิดความหวัง (hope) อีกคราว

-ความหวังดังกล่าวช่วยทำให้ตลาดกับตัวเป็นขาขึ้นรอบใหม่ และในยามตลาดขาขึ้น คนในตลาดก็มักเต็มไปด้วยคนที่มองโลกในแง่ดี (optimism) มีแต่ความเต้น (excitement) กับการเล่นตัวนั้นออกตัวนี้ แม้กระทั่งหุ้นที่วิ่งขึ้นมาชันโด่งก็ยังพากันเล่นไปเสียวไป (thrill) แถมยังตกอยู่ในภวังค์แห่งฝัน
แล้วจิตวิทยามวลชนในตลาดก็จะขับเคลื่อนวัฏจักรของตลาดหุ้นหมุนเวียนไปเช่นนี้ตลอดไปไม่สิ้นสุด
คราวนี้เราไปดูเหตุการณ์วิกฤตการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นดูครับว่าจะสามารถพลิกวิกฤตพิชิตตลาด ให้มาเป็นโอกาสทองในการลงทุนได้อย่างไร?
ก็พอจะแบ่งวิกฤตการณ์จากเบาไปหาหนักได้ดังนี้

III. การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกับตลาดหุ้น

- 10 ครั้งที่ผ่านมา พอจะนำมาเป็นรูปแบบจำลอง (mode) ที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้เหมือนๆ กันก็คือมักจะแบ่งผลกระทบต่อตลาดได้เป็น 3 ช่วงคือ

- ช่วงที่ 1 ตลาดมักจะซึมหรือตกลงมาก่อน ในช่วงก่อนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะนักลงทุนกังวลว่าจะเกิดความผันผวนไม่ชัดเจนทางการเมือง

- ช่วงที่ 2 ตลาดมักจะแกว่งตัวซึมๆ แคบๆ ในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และรอดูท่าที

- ช่วงที่ 3 ตลาดมักจะดีดตัวขึ้นแรง (rally) หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากมีความชัดเจนเกิดขึ้นว่า การเมืองจะไปทางไหนต่อกันแน่

ชาร์ต:ตลาดหุ้นไทยกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจหนล่าสุด แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเหมือนทุกครั้ง


IV.สงครามกับตลาดหุ้น:ทฤษฎีสร้างสรรค์ในเชิงทำลาย

เหตุการณ์สงครามครั้งสำคัญๆที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น จะมีรูปแบบ(pattern)ที่เหมือนกันทุกครั้ง คือพอจะแบ่งได้ 3 ระยะด้วยกัน

-ระยะแรก (เฟส1) ก่อนจะเกิดสงคราม ระหว่างที่ฮึ่มฮั่มใส่กันไปมานั้น ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย มักจะตกกันแบบโลกาวินาศ เพราะความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจว่าจะบานปลายไปเป็นสงครามโลก เกิดทุพภิกขภัยสารพัด ทำให้คนในตลาดหุ้นเทขายหนีตายกันจ้าละหวั่น

-ระยะที่สอง(เฟส2) ในช่วงระหว่างรอการเปิดสงครามกัน มักจะเป็นช่วงที่กำลังระดมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์เตรียมเข้าห้ำหั่นฟาดฟันกันให้บรรลัยกันไปข้าง ตลาดหุ้นมักจะซึมกระทือ คนเลิกเล่นหุ้นกันไปส่วนใหญ่ กรอบความเคลื่อนไหวมักจะแคบๆ เพราะคนทำใจได้แล้วว่าเลี่ยงภาวะสงครามไม่ได้แน่ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาเล่นในตลาด

-ระยะที่สาม(เฟส3) นับตั้งแต่ช่วงเปิดฉากทำสงครามกัน เสียงปืนแตกนัดแรก หรือระเบิดตูมแรก ไปจนกว่าจะยุติสงคราม หรือคาดเดาได้ว่าสงครามครั้งนั้นจะมีผลลงเอยไปในทิศทางใด ก็แปลกที่ว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้มักจะดีดตัวขึ้นแล้วก็วิ่งยาว(rally) และไม่ช้าไม่นานมักจะขึ้นไปสร้างสถิติทำจุดสูงสุดใหม่(new high)กันทุกครั้งไปเสียด้วย

ผมจึงเรียกปรากฏการณ์สงครามที่มีต่อตลาดหุ้นว่าเข้าข่าย”ทฤษฎีสร้างสรรค์ในเชิงทำลาย”(Destruction Creative Theory) เข้าทำนองว่าเมื่อมีการทำลายล้างสิ่งหนึ่งลงไป ก็จะเกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตามมา

อย่างสมัยโบราณ เมื่ออาณาจักรกรีก-อียิปต์โบราณถูกทำลายลง หรือเสื่อมลง จึงเกิดอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่กว่าขึ้นทดแทน และเมื่อโรมถูกทำลายล้างลง จึงเข้าสู่ยุคกลางที่มีมหาอำนาจอังฤษเป็นแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเกิดมหาอำนาจใหม่คือจักรวรรดิอมเริกามาแทนที่ ดังนี้เป็นต้น

ทฤษฎีสร้างสรรค์ในเชิงทำลาย (destruction creative theory)ที่ว่า สงคราม/วินาศกรรม/วิกฤตการณ์ในระดับโลกทุกครั้ง จึงเป็นโอกาสทองทุกครั้งสำหรับนักลงทุนผู้มีพฤติกรรม contrariant หรือนักลงทุนผู้ชาญฉลาดที่หาจังหวะจับทางสวนกระแสคนส่วนใหญ่ในตลาด

หากโฟกัสไปที่มหาสงครามครั้งสำคัญที่มหาอำนาจอเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้อง นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนปัจจุบัน ที่ล่าสุดอเมริกาเข้าไปรุกรานยึดครองอิรัก ขับไล่ซัดดัม ฮุสเซน พ้นจากบัลลังก์ ก็จะพบว่า มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในลักษณะสร้างสรรค์ในเชิงทำลายทั้งสิ้น

สงครามอ่าวภาค 2 ฟื้นจาก 7000 จุด ไปที่ 11,050 จุดในปัจจุบัน

*สงครามอ่าว:รูดมหาราชเป็นโอกาสทอง

สำหรับผลกระทบที่ตลาดหุ้นไทยเคยรับผลกระทบจากภาวะสงครามมาหลายหน จะพบว่าที่สาหัสที่สุดนั้นเจอมา 3 หนด้วยกัน คือสงครามอ่าวครั้งแรก,เหตุการณ์ 11 กันยายน และสงครามอ่าวรุกรานอิรักขับไล่ซัดดัมรอบที่2

สงครามอ่าวครั้งแรก คนในตลาดหุ้นไทยเรียกว่า”สงครามสัตว์ดำ”ครับ เพราะเหตุการณ์เริ่มจากกรณีที่ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรัก เข้าไปยึดครองประเทศคูเวต ผนวกเข้าเป็นจังหวัดหนึ่งของตนในราวกลางปีพ.ศ.2533 ทำให้ขาใหญ่อเมริกา ที่มีอิทธิพลต่อบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางยอมรับไม่ได้ จึงได้นำเรื่องไปฟ้องสหประชาชาติ แล้วระดมพลพันธมิตรเข้าไปไล่อิรักออกจากคูเวต

เนื่องจากเหตุการณ์เกิดที่บ่อน้ำมันสำคัญของโลก ผลกระทบเลยหนักหนาสาหัสทีเดียว ตลาดหุ้นทั่วโลกเลยรูดมหาราช ตลาดหุ้นไทยเองก็ร่วงหนัก โดยก่อนจะมีเรื่องนั้นหุ้นไทยกำลังรุ่งเรืองในยุครัฐบาลน้าชาติ ผ่านด่าน1,000จุดขึ้นไปแล้ว โดยไปทำจุดสูงสุดที่1,144จุดในต้นเดือนสิงหาคม 2533

ช่วงเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบแรก ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 5 เดือนติดต่อกัน มาทำจุดต่ำสุดที่ 536 จุดในปลายเดือนพฤศจิกายน 2533 หรือร่วงลงซะ 51 % ทำเอาคนเล่นหุ้นเจ๊งยับไปตามๆกัน

แต่พอสงครามเริ่มระเบิดขึ้นไปจนยุติ ปรากฎว่าตลาดหุ้นไทยก็ค่อยไต่ระดับขึ้นไปสู่สุดสูงเก่าที่1,144จุดในช่วง3ปีให้หลังเหตุการณ์ และ 4 ปีให้หลังสงครามก็ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,789 จุด

ตาราง:ผลของสงครามอ่าวฯ ครั้งที่ 1 และผลต่อตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งมีอยู่ 3 ช่วงตอนสำคัญ

ตาราง:ตลาดหุ้นทั่วโลกกับผลกระทบจากสงครามอ่าวครั้งที่ 1 ก็แบ่งเป็น 3 ช่วงเช่นกัน

ตาราง:ตลาดหุ้นไทยในปี 2546 ก็มี pattern เหมือนกับตลาดหุ้นอเมริกาตอนสงครามอ่าวครั้งแรก

ตาราง:สงครามอเมริการุกรานอิรักครั้งที่ 2 เมื่อปี2546ก็มีรูปแบบแบ่งเป็น3ช่วงเช่นกัน โดยช่วงที่ 1 ร่วงหนักเพราะอเมริกาฮึ่มฮั่มเตรียมจะก่อสงคราม ,ช่วงที่ 2 ระหว่างรู้แน่ว่าจะเกิดสงคราม ตลาดซึมตัวรอ และช่วงที่ 3 พอสงครามระเบิดขึนเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2546 ตลาดหุ้นก็พุ่งแรงต่อเนื่อง

ตารางที่:ตลาดหุ้นไทยในช่วงอเมริการุกรานอิรักครั้งที่2เมื่อปี2546ก็มีรูปแบบแบ่ง3ช่วงเช่นกัน ก่อนสงคราม มีการขู่กันไปมาก็ตกหนัก,ช่วงที่2อเมริกาพร้อมกำลังพลเตรียมรบ ก็ซึมๆออกด้านข้าง,ช่วงที่3พอเปิดสงครามก็ขึ้นยาวทำnew high

*11กันยาฯถึงสงครามอ่าวภาค2:โอกาสทองเสพวิกฤตเป็นภักษาหาร

ส่วนหนที่ 2 ที่สาหัสกับตลาดหุ้นไทยก็คือในคราวเหตุการณ์ 911 หรือ11กันยายน2544 ตอนนั้นตลาดหุ้นไทยเริ่มไต่ระดับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของรอบแถวๆ250จุด มาอยู่แถว350จุด เพราะคนมั่นใจในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่เพิ่งเข้าบริหารประเทศในตอนต้นปี และเพิ่งผ่านคดีซุกหุ้นมาได้ในวันที่ 3 สิงหาคม 2544 แต่ดีใจกันได้ไม่นาน ก็มาเจอเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์

ในตอนเกิดเหตุการณ์นั้น ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สั่งให้ปิดทำการ 3 วันเพื่อระงับความตื่นตระหนก ให้คนเล่นหุ้นได้พินิจพิจารณาใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ แต่ก็อั้นไม่ไหว พอเปิดให้ซื้อขายได้ตามปกติ ก็เจอแรงขายถล่มร่วงกราวรูด ใช้เวลาไม่กี่วันก็รูดลงไปถึง 265 จุด หรือลงมาซะราว 30 %เลยทีเดียว(ส่วนพวกวอร์แรนต์ที่แกว่งตัวผันผวนนั้น ลงไปกว่านั้น)

แต่หลังจบเหตุการณ์ไม่นาน ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวโงหัวกลับ แล้ววิ่งขึ้นไปทำnew highแถว430 จุดในช่วงกลางปี2545 หรือขึ้นไปจากจุดต่ำสุดราว62.50%

ส่วนเหตุการณ์ตอนที่อเมริกาหาเหตุบุกยึดอิรัก ก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากกรณี911 โดยมีการฮึ่มฮั่มๆในช่วงกลางปี2545 ส่งผลให้หุ้นรูดลงมาจากแถว430จุด ลงมาต่ำสุดแถว320จุด พอเหตุการณ์สงครามระเบิดขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม 2546 ตลาดหุ้นก็วิ่งยาวขึ้นทำnew highไปสูงสุดที่ 802.19 จุด ในวันที่ 13 มกราคม 2547

สรุป สถิติดังกล่าวได้ชี้ว่า ตลาดหุ้นกับสงครามจะแบ่งเป็น 3 ช่วงเสมอ และถือว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆในการลงทุน มากกว่าการทำลายล้างจนไม่เหลือซากอะไรเลย เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบให้ราคาของหุ้นตกดหนักไปมากกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง จากนั้นก็จะดีดกลับมาหาปัจจัยพื้นฐานเสมอ และพบด้วยว่ามักจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่แบบวิ่งขึ้นยาวกว่าตอนเกิดสงครามเสียด้วยซ้ำ

หากเราจะถือว่ารูปแบบDestruction Creativeที่ผ่านด้วยการพิสูจน์เชิงสถิติหลายๆครั้งมาแล้ว มันก็ย่อมเป็นโอกาสในวิกฤต เข้าทำนองปัญหามาปัญญามี แทนที่จะกลัวโลกแตก กลัวการทำลายล้างไม่เหลือซาก แทนที่ท่านจะเป็นเหยื่อของวิกฤต ก็จงเปลี่ยนวิกฤตเป็นภักษาหารมังสาหารดีกว่าครับ

v.ม็อบกับตลาดหุ้น:วิกฤตที่เป็นโอกาส?

ข้อพิจารณาที่สำคัญ เป็นดังนี้ครับ สำหรับเหตุการณ์เมื่อเกิดการชุมนุมประท้วงทางการเมืองว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นเป็นอย่างไร?


*ดูว่าประชามติของสาธารณะในขณะนั้นเป็นอย่างไร เทเสียงหรือโอนเอียงไปข้างไหน?
*หากโอนเอียงไปข้างใด แล้วผลออกมาข้างนั้นชนะ หรือทำท่าว่าจะชนะ ตลาดหุ้นก็จะขึ้นแรง และทำnew high
*หากโอนเอียงไปข้างใด แล้วผลออกมาข้างนั้นแพ้ หรือทำท่าว่าจะแพ้ ตลาดหุ้นก็จะตกแรง
*แต่ไม่ว่าจะผลออกมาอย่างไร เหตุการณ์หลังจากนั้นตลาดหุ้นก็จะขึ้นแรงและทำnew high
ตัวอย่างเลยครับ...

1. ม็อบพฤษภาทมิฬ35-23 ก.พ.2534 รสช.ปฏิวัติ SET734.24 ตกจาก791.64 หรือ-57.40 จุด หรือ-7.25% หลังจากนั้น 2 เดือนขึ้นไปพีคที่911.74จุด หรือขึ้นจากจุดต่ำสุด177.50จุด หรือ+24.17%

-7เม.ย.2535 บิ๊กสุเสียสัตย์เป็นนายกฯ SET832.39 การชุมนุมเริ่มที่หน้าลานโพ ม.ธรรมศาสตร์ และบานปลายไปเป็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ(17-20พ.ค.2535)

-20 พ.ค.2535 SETต่ำสุดที่ 653.13 จุด หรือลดลงนับจากบิ๊กสุเป็นนายกฯ -179.26 จุด คิดเป็น-21.53% เวลา23.00น.คืนนั้นบิ๊กสุลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

แต่หลังจากนั้นอีก 6 เดือนSETขึ้นไปที่ 970.51 จุด เป็นการปรับตัวขึ้น 317.38 จุด หรือ+48.60 %

- 5 ม.ค.2537 ย้อนหลังพฤษภาทมิฬราว 2 ปี SETทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,789.16 จุด

2. ม็อบสีลมไล่บิ๊กจิ๋ว

-17พ.ย.2539บิ๊กจิ๋วชนะเลือกตั้งเป็นนายกฯ SETอยู่ที่942.34จุด ลดลงจากวันก่อนหน้านั้นซึ่งอยู่ที่1,000.73 จุด หรือลดลง จุด หรือลดลง %
-2ก.ค.2540 ลดค่าเงินบาท SETพุ่งจาก568.79 ขึ้นไปสูงสุดที่ 696.22 จุด หรือเพิ่มขึ้น จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น %โดยฝรั่งนำดอลลาร์แปลงเป็นบาท ซื้อหุ้นได้ดับเบิ้ล แล้วเทขายทิ้งยาว
-20ต.ค.2540 นักศึกษารามคำแหงและประสงค์ สุ่นศิริ จัดม็อบสีลมขับไล่บิ๊กจิ๋ว SETตกมาอยู่ที่ 509.51จุด
-24ต.ค.2540 บิ๊กจิ๋วปรับครม.หาคนนอกมาดูแลด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่อาจเรียกศรัทธากลับได้เลย
-6พ.ย.2540 บิ๊กจิ๋วลาออกจากนายกฯ SETพุ่งจาก478.32 จุด ขึ้นไปที่509.93จุด ในช่วง 2 วัน หรือขึ้นไป จุด คิดเป็น % แต่จากนั้นก็ไหลลงรูดยาวไปที่339.17จุดในเดือนถัดมา เพราะค่าเงินบาทอ่อนยวบลงไปถึง57บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาที่565จุดในเดือนมีนาคม2541

3. ม็อบหนุนทักษิณผ่านคดีซุกหุ้น

-21ธ.ค.2543 ปปช.ตัดสินชี้ขาดว่าทักษิณมีความผิดฐานซุกหุ้น SETตกลงจากแถว270จุดลงมาที่263จุด
- 6 ม.ค.2544 ทักษิณชนะเลือกตั้งสมัยแรกท่วมท้น มีผู้ใช้สิทธิ์โหวตให้ 11 ล้านเสียง หุ้นขึ้นจาก269.19 ไปสูงสุดที่ 347.19 จุด หรือ+ จุด % ในเวลา 1 เดือน
-18มิ.ย.2544 หลังจากมีการจัดม็อบหนุนทั่วประเทศให้กำลังใจนายกฯ โดยอ้างคน11ล้านเสียงอยากให้เป็นนายกฯต่อ ทักษิณได้แถลงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า”บกพร่องโดยสุจริต..” หุ้นขึ้นในรอบนี้จากแถว279จุด มาพีคที่327จุด
-3ส.ค.2544 ศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 8 ต่อ 7 เสียงให้ทักษิณพ้นคดีซุกหุ้น(ก่อนหน้านั้นหุ้นตกจากแถว330จุดลงมาที่295จุด เพราะข่าวลือว่าทักษิณจะแพ้คดี) ซึ่งจากการนี้SETพุ่งจาก295จุด ขึ้นไปที่345จุด ก่อนที่จะตกใหญ่ในเหตุการณ์ 9 ก.ย.2544ลงมาแถว265จุด

สรุปว่า ในครามซุกหุ้นภาค 1 ใช้เวลาการพิจารณาคดีอยู่เกือบ 8 เดือน ตลาดก็จะผันผวนขานรับข่าวทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ตามกระแสข่าวที่เข้ามาแต่ละช่วงครับ

ส่วนคดีซุกหุ้นภาค 2 ที่ 28 สว. นำโดยอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญไปเมื่อวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2549 นั้น หากศาลรับคดีไว้พิจารณา ก็คาดว่าคงจะใช้เวลาพิจารณาไล่เลี่ยกันคืออยู่ระหว่าง 6-8 เดือนโดยประมาณ ตลาดหุ้นก็คงมีรูปแบบเคลื่อนไหวขานรับข่าวในแต่ละช่วงคล้ายๆกันครับ

อยู่ที่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นใด และประชามติสาธารณะเป็นเช่นใด ซึ่งผมเข้าใจว่าสาธารณชนส่วนใหญ่อยากให้นายกฯทักษิณชนะคดีพ้นข้อกล่าวหาให้ได้เหมือนรอบแรก(แต่รอบนี้ไม่ง่ายนัก เพราะคนต่อต้านนายกฯทักษิณก็มีขึ้นมาแล้ว ไม่ได้มีแต่ม็อบเชียร์อย่างหนก่อน)

แต่รูปแบบของตลาดหุ้นก็คงคล้ายๆกับที่ผ่านมาคือแบ่งเป็น 3 ช่วง
-ช่วงแรก เมื่อมีการยื่นต่อศาล หุ้นก็จะตกหนัก
-ช่วงที่ 2 ระหว่างรอการพิจารณาคดี ตลาดจะซึมๆทรงๆ อาจมีผันผวนตามกระแสข่าวในช่วงนั้นๆบ้าง
-ช่วงที่ 3 หลังคดีจบ หากนายกฯทักษิณชนะ ตลาดหุ้นก็มีโอกาสrallyทำnew high หากแพ้ก็คงตกกันหนัก

4.ม็อบขบวนการสนธิฝ่ายต่อต้านทักษิณ ถึงรัฐประหาร19กันยาฯ

ม็อบนี้เริ่มต้นจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกับนายกฯทักษิณ ต่อมาเกิดการขบเหลี่ยมกัน เลยหันมาเป็นศัตรู นายสนธิก่อการชุมนุมกู้ชาติเมื่อวันที่ 4 ก.พ.แต่ขับไล่นายกฯไม่สำเร็จ จึงมีขบวนการNGO นักวิชาการ นักศึกษาปัญญาชนส่วนหนึ่งเข้าร่วม และมีผู้ต่อต้านรัฐบาลที่เป็นเสียงข้างน้อยในสังคมออกมาขับไล่ ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ยังเงียบเฉย หรือแสดงความไม่เห็นด้วย(จากABAC POLLและม.กรุงเทพโพลล์ ชี้ว่าคนกว่า 60 %ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมครั้งนี้ วางเฉยซะประมาณ25% เพียง 15 %เท่านั้นที่สนับสนุนการขับไล่นายกฯทักษิณ)

ผลของม็อบหนนี้ไปจบลงด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งก็เป็นไปตามสูตรครับ หลังเหตุการณ์สงบลง หุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่925จุด

หลังจากรัฐประหารนี้สังคมไทยแตกแยกออกเป็นสีเหลือง สีแดง เกิดการประท้วงใหญ่อีกหลายยก รวมทั้งเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเมื่อ19พฤษภาคม 2553 ที่คนแตกตื่นกันยกใหญ่เทขายหุ้นจ้าละหวั่น

ผมได้แจ้งให้ลูกค้าสมาชิกของผมว่า “มันก็จะเหมือนทุกหนนั่นแหละ คือแบ่งเป็น3ขั้น ขั้นแรกทำท่าจะฮึ่มฮั่มใส่กันก็ตก พอถึงจุดพีคของเหตุการณ์ว่าเผาห้างฯแล้ว มีเจ็บตายมีจับกุมกันแล้วก็จบ พอจบก็จะขึ้นรอบใหญ่”...เป็นไปดังคาดครับ ตลาดหุ้นหลังพฤษภา2553ขึ้นจากเขต700ไปทะลุ1,000จุด แบบที่คนไม่รู้เรื่องก็งงๆว่าขึ้นไปได้ยังไง

แต่ท่านที่รู้สูตรบันได3ขั้นฟันกำไรในวิกฤต..รวยสะดือปลิ้นไปตามๆกัน

อย่างที่ผมบอกไปเรื่องนี้ไม่มีสอนกันในตำราครับ เข้าใจว่าจะมีที่นี่ที่เดียว คือที่ณัฐวุฒิสอนนี่แหละครับ

สรุป ไม่ว่าจะมีวิกฤตการณ์หนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด ขอให้ท่านสมาชิกSETCALL ท่านนักลงทุนอย่าได้หวั่นไหวไปตามกระแส จนตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ ทำให้เสียหายขาดทุนเจ๊งหนักจากวิกฤตการณ์ต่างๆครับ

แต่จงพลิกวิกฤตเพื่อพิชิตตลาด ให้เป็นโอกาสทองเสมอ ทำได้ดังนี้ท่านก็มีสิทธิ์รวยหุ้น เป็นผู้เสพวิกฤตเป็นภักษาหารได้ในที่สุดครับ

ที่ผมไม่มีชาร์ตให้ดูเพราะยังเอามาลงไม่เป็น แต่หากอยากดูก็ลงทุนสมัครสมาชิกหน่อยครับ แล้วมีให้ดู หากดูไม่รู้เรื่องอีกก็มาเรียนครับ รู้แล้วรวย ถือว่าจ่ายค่าครูหนเดียว เอาไปทำมาหากินในตลาดหุ้นได้ตลอดชาติครับ**********

**********************
เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


อบรมเล่นหุ้นอย่างไรไม่ให้เจ๊ง พลิกวิกฤตเป็นโอกาสรวยปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 40 รุ่นมาแล้ว

-ฟังบรรยายพิเศษ"พลิกวิกฤตการณ์สารพัดข่าวร้ายในตลาดหุ้นอย่างไรไม่ให้เจ๊ง กลายเป็นโอกาสทองรวยหุ้น"

-วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2554/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 30 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง รีบจองก่อนเต็ม) 02-9275800 โทรมือถือ


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น