วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คัมภีร์หุ้นไทย(27-28ตุลาคม2554):Updateทฤษฎีทำลายเชิงสร้างสรรค์(Creative Detruction)กับวิกฤตน้ำท่วมกรุงเทพฯ ตอนนี้อยู่ระยะไหนและต้องทำตัวอย่างไรพอร์ตจึงจะไม่ล่มจมไปกับสายน้ำ



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์

ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com

บทความนี้จะล่าช้ากว่าที่ส่งให้สมาชิกอ่าน และไม่มีแนะนำหุ้นเด่น สำหรับหุ้นเด่นรายตัว แนะนำท่านสมาชิกอ่านที่www.tintancorp.comครับ

***หมายเหตุ:บทความนี้จะลงช้าไป 1 วัน หรือลงให้อ่านหลังสมาชิกของเรา และไม่มีคำแนะนำการลงทุนหุ้นเด่นรายตัว สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้แบบupdateก่อนใคร ในช่วงก่อนเปิดทำการภาคเช้า อ่านชาร์ตประกอบ และฟันธงหุ้นเด่นรายตัว ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ หรือรับหุ้นเด่น และSET50 พร้อมจุดซื้อจุดขาย ข่าวด่วนข่าวร้อนก่อนใครผ่านทางSMS แม่นยำ กำไร สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800 โทรมือถือ087-7174939/087-7174979/087-7178979

ข้อสรุปสำคัญ-เมื่อนำทฤษฎีทำลายเชิงสร้างสรรค์(Creative Detruction)มาคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นกับวิกฤตน้ำท่วมกรุงเทพฯ ผมคิดว่าตอนนี้อยู่ระยะ2คือซึมรอเหตุการณ์ และอาจเริ่มเข้าสู่ช่วง3เมื่อเกิดความชัดเจนว่าน้ำท่วมแน่ๆ ก็คือหุ้นจะขึ้นหลังจากเคลียร์ข่าวร้ายที่เครียดกังวลก่อนหน้านี้

ข้อพิจารณาคือหากสัปดาห์นี้SETปิดภายในวันศุกร์นี้เกิน955จุด(หรือให้ดีเกิน970จุดไปเลย) และSET50ปิดเกิน660(หรือให้ดีปิดเกิน670ไปปเลย)ก็จะเข้าสู่ช่วงที่3อย่างสมบูรณ์คือขึ้นและพร้อมทำนิวไฮ

นี่จะเป็นเรื่องประหลาดใจแน่ แต่สำหรับท่านที่เคยอ่านงานของผมมาตลอดในเรื่อง Creative Detruction กับตลาดหุ้นจะไม่ประหลาดใจเลย และอาจเป็นจังหวะที่ดีในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุน


I.วิตกวิกฤตน้ำท่วมกรุงกับผลกระทบต่อตลาดหุ้น 3 ระยะ และกลุ่มที่มีผลกระทบได้เสีย?


*บทวิเคราะห์โมเดลการทำลายเชิงสร้างสรรค์( Creative destruction market) ต่อตลาดหุ้นในวิกฤตน้ำท่วม

-ผ่านระยะที่1 ความเครียดความกังวลและความวิตกเรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯเข้าระยะที่2? ท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่าจะท่วมหรือไม่ท่วม ท่วมน้อยหรือมาก ท่วมนานหรือสั้นในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้คนกรุงเทพฯเกิดPanicไปทั่ว สังเกตจากการแห่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภถคกักตุน จนขาดตลาด การนำรถยนต์หนีน้ำขึ้นไปจอดบนทางยกระดับ ทางด่วน หรือสะพานต่างๆ เรื่องนี้ก็สะท้อนมาที่ตลาดหุ้นเช่นกัน

-แต่ล่าสุดรัฐบาลได้ยอมรับแล้วว่าคงท่วมกรุงเทพฯแน่ บางโซนอาจท่วม1-1.5เมตร ขณะที่จะป้องกันสถานที่สำคัญ และย่านใจกลางธุรกิจให้พ้นจากน้ำท่วม รวมทั้งเปิดทำการตลาดหุ้นละธนาคารตามปกติ ขณะที่ได้หยุดราชการ27-31ต.ค.ที่คาดว่าจะเป็นช่วงน้ำเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ

ชาร์ตที่1:Creative destruction marketที่ผมนำมาให้ดูบ่อยๆว่าเวลาเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นออกเป็น 3 ช่วง

*ช่วงแรกPanic sellหรือตกตื่นขาย เพราะเครียด กังวล คาดการณ์ในทางร้ายว่าจะส่งผลเสียหายมาก แต่ยังไม่เคลียร์…ผมคิดว่าตลาดหุ้นกับน้ำท่วมได้ผ่านช่วงนี้มาในช่วงสัปดาห์ก่อนนี้แล้ว

*ช่วงที่2หลังหายpanicแล้วก็จะซึมรอเหตุการณ์ที่ชัดเจนว่าจะเป็นแบบใดแน่ ระหว่างนั้นคนก็จะเริ่มแยกแยะว่าใครได้ใครเสียจากวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยซื้อขายกัน ทำให้ตลาดซึม วอลุมบางหดตัว คนจะเบื่อๆตลาด คนที่สิ้นหวังก็อยากขาย …ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในระยะนี้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้มาจนเวลานี้

*ช่วงที่3เกิดเหตุการณ์ชัดเจนแล้ว เช่น ท่วมแน่ๆแล้ว หรือไม่ท่วมแน่ๆ ไม่ว่าอย่างไรตลาดหุ้นก็จะขึ้น เพราะได้ซึมซับเอาปัจจัยลบไว้ในช่วงที่1ไปหมดแล้ว…ผมคิดว่าตลาดหุ้นไทยอาจเริ่มเข้าสู่ช่วงระยะนี้เมื่อรัฐบาลประกาศเตือนภัยชัดเจนและสั่งหยุดราชการ27-31ต.ค. คนพอมองเห็นชัดเจนแล้วว่าการณ์จะไปทางไหน

กลยุทธ์วิกฤตน้ำท่วม-ก็ทำเหมือนทุกวิกฤตนั่นแหละครับคือ

*ในช่วงที่1ที่คนเขาวิตกกังวลเทขายด้วยความตกตื่น ท่านไม่ควรไปสวนทาง หรือไปเถียงเขา ปล่อยให้ขายซะให้พอ (ผมคิดว่าช่วงนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในสัปดาห์ก่อนตอนตกจากเขต973ลงมาที่902จุด)

*ในช่วงที่2 ซึ่งตลาดจะซึมๆรอข่าวที่ชัดเจน วอลุมจะหดหาย บรรยากาศซื้อขายน่าเบื่อ ซึมกระทือ หรือแกว่งตัวในกรอบจำกัด รอข่าวชัดเจน(ตอนนี้ที่รอกันคือตอนช่วง27-31ต.ค.น่าจะเจอท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯซะที) นี่เป็นจังหวะดีโอกาสทองที่ท่านจะได้ซื้อของถูก และอย่าไปหมดใจเบื่อขายในช่วงนี้เป็นพอ

*ในช่วงที่3เมื่อเกิดความชัดเจนหายคลุมเครือ ขนาดน้ำท่วมกรุงเทพฯจมเป็นเมืองบาดาล หุ้นมันก็จะขึ้นเพราะหายกังวลแล้ว เพราะเรื่องร้ายๆเกิดแล้วตามที่กลัวกัน ราคาก็ตกไปในช่วงแรกแล้ว หุ้นจะขึ้น หากท่านเอาชัวร์ก็รอข่าวชัดๆแล้วซื้อซะ หรือ หากซื้อไว้ในช่วง2ก็รอขาย ปกติจะทำนิวไฮ(รอบล่าสุดมียอดไฮ973 หากชัดเจนก็จะขึ้นนิวไฮในรอบหน้า อาจเป็นเขต1000+/-)

หากจะถามว่าไม่กลัวหรือว่าจะท่วมยาว ส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล คำตอบคือคนกลัวกันและขายออกมาในช่วงที่1ไปแล้วครับ ตลาดได้ซึมซับเอาข่าวร้ายๆนั้นไปมากเพียงพอแล้ว


II.กลุ่มไหนได้หรือเสีย

เสีย-พวกนิคมอุตสาหกรรม อย่างROJNA NNCL

อาจรวมไปถึงผลเสียทางจิตวิทยาต่อกลุ่มแบงก์ที่ต้องปรับโครงสนร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลเสียหาย(สังเกตจากช่วงที่ผ่านมาแบงก์ลงหนัก แต่ผมคิดว่าหากเจอไฟต์บังคับก็คงหนีไม่พ้นแบงก์รัฐบาลอย่างKTB หรือพวก ธอส. ธกส.ครับ)

นอกจากนั้นก็เป็นพวกกลุ่มบ้านจัดสรรที่คงหาคนซื้อไม่ได้ หรือขึ้นโครงการมาก็แย่ ต้องไปพิจารณาเป็นรายตัวไป แต่รวมๆพวกบ้านจัดสรรคงอ่วมจากน้ำท่วมแน่(ลองอ่านตามลิ้งค์นี้ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1319533579&grpid=09&catid=&subcatid= เจ้าของโครงการที่จะโดนผลกระทบก็เช่น SIRI QH SPALI PS MK PF LH)

รวมถึงกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนที่ต้องเจอพิษน้ำท่วม

ดี-พวกได้อานิสงส์ในตลาดดูจะมากกว่า ทั้งกลุ่มอุปโภคบริโภคที่คนแห่ตุนอย่างห้างBIGC MAKRO ROBINS CPALLพวกอาหารอย่างCPF TF พวกวัสดุก่อสร้างและสินค้าเกี่ยวกับบ้านอย่างTASCO SCC SCCC TPIPL HMPRO GLOBAL DCC หรือพวกสื่อสารที่คนต้องดูหรือใช้มากกว่าปกติอย่างBEC MCOT ADVANC DTAC TRUE

III.เป้าตกปรับฐาน และการทรงตัวในระยะที่2ของทฤษฎีสร้างสรรค์เชิงทำลาย


ชาร์ตที่2:รอบที่ผ่านมาตลาดหุ้นเราได้รับผลกระทบวิกฤตหนี้ในยุโรปเลยร่วงลงมาเขต843หรือเขต1ใน3ของโครงสร้างใหญ่(วัดจากพีค1148เมื่อต้นเดือนสิงหาคม กับฐาน380เมื่อเดือนพฤศจิกายน2551)แล้วฟื้น แต่ปัญหาคือขึ้นไปยังไม่ผ่านแนวต้านDowntrend ซึ่งสัปดาห์นี้(25-28)อยู่เขต970 ส่วนสัปดาห์หน้าลดลงมาแถว955จุด

การลงนี้ก็ต้องคาดว่ามีกรอบแนวรับใหญ่เขต900-843จุดโดยประมาณ ซึ่งผมคิดว่าไม่ควรแย่กว่านี้ เหตุก็ดังที่เคยแจ้งไปว่า

1.วิกฤตหนี้ยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยไปเพียงพอแล้ว ตอนนี้เข้าช่วงระยะที่2หรือระยะที่3 หุ้นไทยก็รับข่าวนี้ไปเยอะเพียงพอแล้ว

2.วิกฤตน้ำท่วมก็ซัดหุ้นเราตกหนักๆในช่วง1แล้วในสัปดาห์ก่อน และคาดว่าจะเข้าช่วง2ในสัปดาห์นี้คือซึมและน่าเบื่อหน่ายในระยะนี้(ก็ต้องสังเกตว่าซึมและวอลุมหาย และน่าเบื่อหรือยัง หากใช่ก็อยู่ในระยะที่2 และเมื่อรัฐบาลเตือนภัยชัดเจนว่าน้ำจะเข้าท่วมกรุงเทพฯช่วง26-31ต.ค.ก็อาจเข้าสู่ช่วง3คือมีความชัดเจนแล้ว)


ชาร์ตที่3:ดังนั้นหากเจอวิกฤตน้ำท่วมควรจะมีฐานในการตกแค่ไหน เมื่อวัดจากพีครอบล่าสุด973และฐาน843จะออกมาเท่ากับด่านแรกๆ923ถัดไป908ถัดไป893-885จุด แนวต้านตอนนี้ก็จะเป็น930-935 ถัดไป 955และ970

(ความจริงคือสัปดาห์แรกยืนเหนิอด่านแรก1ใน3หรือ38.20%fibonacci=923แล้วฟื้นมาผ่านด่าน930-935 ดังนั้นก็น่าจะเห็นขึ้นไปเขต955หรือ970ได้ต่อไป

คาดว่าหากเป็นช่วง2ซึมๆ ตลอดสัปดาห์นี้ก็อาจแกว่งในกรอบ923-955โดยประมาณ คือขึ้นก็ไม่เกินต้าน955ลงก็แถว923-908หากล้ำลงไปหน่อยก็890+/-

ดังนั้นข้อพิจารณาสำคัญก็อยู่ตรงนี้คือ

1.อาจแกว่งซึมในกรอบ900-955เพื่อรอข่าวชัดเจน(รอให้ท่วมชัดๆ จะได้รู้หมู่หรือจ่า)
2.กรณีดีเกินคาดคือขึ้นเกิน955จะไปต่อ แต่ไม่น่าเกิน970
3.กรณีแย่กว่าคาดหลุดลึกกว่า900อาจลงไป893หรือใกล้ๆ843ที่เป็นโลว์เก่า

แต่คาดว่าจะเป็นไปตามข้อ1 หรือข้อ 2 มากกว่าครับ

หากไม่ย่อลงไปเกิน885-893หรือไม่ล้ำลงไปหาโลว์เก่าเขต843ก็แปลว่าฐานอยู่ตรงนี้คืออาจจะตั้งแต่900-885แล้วซึมในระยะที่2 และหากเด้งก็ไปติดแถวๆแนวต้านDowntrendแรก955ถัดไป970 จนกว่าจะผ่านแนวต้านDowntrendหรือทำนิวไฮใหม่เกิน970-973จึงจะวิ่งขึ้นไปในระยะที่3คือไปเขต1000+/-



ชาร์ตที่4:ส่วนSET50รอบล่าสุดขึ้นไป682แล้วลง สัปดาห์นี้ลงมาแค่เขต38.20%~640 โดยต้นสัปดาห์ลงมาลึกสุด636 เมื่อวานขึ้นมาปิดที่653

มีแนวรับช่วงนี้ด่านแรก645-640 แนวต้านDowntrendด่านแรกเขต640ถัดไป670

1.หากอยู่ในช่วง2คือซึมตามคาดการณ์น่าแกว่งในกรอบ645-640ต้านเขต660-670

2.กรณีดีเกินคาดต้องไปผ่านแนวต้านเขต660-670จะขึ้นต่อไปทำนิวไฮเกินไฮก่อน682ได้ต่อไป

3.กรณีแย่คือหลุดเขต615-605ก็อาจเสี่ยงลงไปโลว์เก่าเขต570ได้ต่อไป

ดังนั้นสัปดาห์นี้สำหรับคนเทรดดิ้งระยะสั้นอาจต้องอิงในกรอบที่1ที่กล่าวไปข้างต้น คือเทรดในภาวะซึม ลงแนวรับเข้าซื้อ ขึ้นไปหากไม่ดีกว่า660-670ก็ขายก่อน

สำหรับแนวโน้มตลาดระยะกลางจากนี้นไปถึงสิ้นปีหรือปีใหม่ แนะนำให้กลับไปอ่านบทความของวันก่อนหน้านี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น