วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิกฤตการเมืองกดดัน จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนอย่างไร ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ?



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

เป็นบทความที่ผมเคยเสนอมาแล้ว ผมว่าน่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับวิกฤตการณ์การเมืองเที่ยวนี้ได้ เลยนำเสนอให้พิจารณากันอีกทีครับ

บทความพิเศษ:บรรยากาศทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (ไทยๆ) กับการตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ว่าด่วยทฤษฎีทำลายเชิงสร้างสรรค์ การพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทองของการลงทุน โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

บทความนี้เขียนเพื่อแสดงปาฐกถาในการประชุมวิชาการบัณฑิตศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 1 ของสมาคมรัฐศาสตร์ แห่งหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2555 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี การนำเสนอเผยแพร่ในโอกาสนี้ เป็นฉบับคัดย่อ ปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์การเมือง ณ เวลานี้



ตลาดหุ้นไทยกับวิกฤตการณ์การเมืองเที่ยวนี้ที่แบ่งเป็น3ช่วง

- ระยะแรก (เฟส1) ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์แตกหัก(สงครามระหว่างรัฐ/สงครามกลางเมือง/จลาจล/ปฏิวัติรัฐประหาร/อภิปรายซักฟอกรัฐบาล/พิบัติภัยต่างๆตามธรรมชาติ หรือโรคระบาด/การสูญเสียผู้นำฯลฯ เที่ยวล่าสุดนี้คือก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผู้นำม็อบประกาศจะโค่นล้มรัฐบาลให้สำเร็จ) ระหว่างที่ฮึ่มฮั่มใส่กันไปมานั้น ตลาดหุ้นมักจะตกกันแบบโลกาวินาศ เพราะความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจว่าจะบานปลายไปเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ กลัวจะเกิดทุพภิกขภัยสารพัด ทำให้คนในตลาดหุ้นเทขายหนีตายกันจ้าละหวั่น...ความกลัวทำให้หุ้นตก

- ระยะที่สอง (เฟส2) ในช่วงระหว่างเตรียมพร้อมไพร่พลเสบียงกรัง และออกข่าวจะเปิดเกมถล่มกัน ให้บรรลัยกันไปข้าง ตลาดหุ้นมักจะซึมกระทือ คนเลิกเล่นหุ้นกันไปส่วนใหญ่ กรอบความเคลื่อนไหวมักจะแคบๆ เพราะคนทำใจได้แล้วว่าเลี่ยงภาวะสงครามไม่ได้แน่ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาเล่นในตลาดความทรมานคือการรอคอย(ผมคิดว่าจะเกิดในสัปดาห์หน้า หลังม็อบใหญ่24พ.ย.ไปจนถึง30พ.ย.)

- ระยะที่สาม (เฟส3) นับตั้งแต่ช่วงเปิดใส่กัน ที่ผมมักเรียกว่ากระสุนนัดแรกในสงครามหรือ เสียงปืนแตกนัดแรก หรือระเบิดตูมแรก ไปจนกว่าจะยุติสงคราม หรือคาดเดาได้ว่าสงครามครั้งนั้นจะมีผลลงเอยไปในทิศทางใด ก็แปลกที่ว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้มักจะดีดตัวขึ้นแล้วก็วิ่งยาว ( rally) และไม่ช้าไม่นานมักจะขึ้นไปสร้างสถิติทำจุดสูงสุดใหม่ (new high)กันทุกครั้งไปเสียด้วยเที่ยวนี้คือวันที่30พ.ย.จะล้มรัฐบาลสำเร็จหรือไม่สำเร็จ

ไม่ว่าบทสรุปจะจบอย่างไร ใครแพ้-ชนะไม่เกี่ยว ขอให้จบ ไม่คลุมเครือต่อไป หุ้นจะขึ้น และขึ้นไปนิวไฮเกินยอดเก่า1480จุดที่ทำเอาไว้

ผมเลยเรียกปรากฏการณ์วิกฤตการณ์ต่างๆที่มีต่อตลาดหุ้นว่าเข้าข่าย
ทฤษฎีสร้างสรรค์ในเชิงทำลาย เข้าทำนองว่าเมื่อมีการทำลายล้างสิ่งหนึ่งลงไป ก็จะเกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตามมา

อย่างสมัยโบราณ เมื่ออาณาจักรกรีก-อียิปต์โบราณถูกทำลายลง หรือเสื่อมลง จึงเกิดอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่กว่าขึ้นทดแทน และเมื่อโรมถูกทำลายล้างลง จึงเข้าสู่ยุคกลางที่มีมหาอำนาจอังฤษเป็นแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเกิดมหาอำนาจใหม่คือจักรวรรดิอมเริกามาแทนที่ ดังนี้เป็นต้น

ทฤษฎีสร้างสรรค์ในเชิงทำลาย (destruction creative theory)ที่ว่า สงคราม/วินาศกรรม/วิกฤตการณ์ในระดับโลกทุกครั้ง จึงเป็นโอกาสทองทุกครั้งสำหรับนักลงทุนผู้มีพฤติกรรม contrariant หรือนักลงทุนผู้ชาญฉลาดที่หาจังหวะจับทางสวนกระแสคนส่วนใหญ่ในตลาด

การอินไปกับปรากฎการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้คุณตกเป็นเหยื่อของวิกฤตการณ์ แต่การพลิกไปมองอีกด้านว่า วิกฤตการณ์ล้วนเป็นปกติที่อยู่คู่กับตลาด จบเรื่องนี้ก็มีเรื่องใหม่มาให้ได้เผชิญ จะทำให้คุณพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น