โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร. 029275800 E-Mail : tontan2008@gmail.com Fax : 02-927-5808
ก.ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว-อำลาปีหมี และตรวจคำพยากรณ์
1).พ.ศ.2558 ปีแห่งตลาดหมี-ในปี2558 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ ผมได้ให้ความสำคัญไว้ในตอนต้นปีว่าให้จับตามองว่าดัชนี SET จะสามารถขึ้นทำจุดสูงใหม่(NEW HIGH ได้เกินยอดเดิมที่เคยทำไว้เขต 1,650 จุดหรือไม่? หากผ่านก็จะเป็นขาขึ้นสดใส แต่หากไม่ผ่านก็จะเสี่ยงตกรอบใหญ่และลงได้อีก
-ดังที่รู้กันไปแล้วคือ SET ไม่สามารถสร้าง NEW HIGH ได้สำเร็จโดยขึ้นมาเพียงเขต 1,620 จุด และก็ลง ผมจึงปรับคำแนะนำให้ลดพอร์ตการลงทุน
-ในต้นเดือนพฤษภาคม 2558 ผมได้ปรับคำแนะนำให้ผู้ “ขายและเล่นอิงขาลงในตลาดหมี”(BEAR MARKET STRATEGY) คือไม่ควรซื้อทุกกรณี ให้ขายลดพอร์ตลง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่อิงกับ SET หรือมีค่า BETA ใกล้กับ SET หรือทำกำไรด้วยการถือครองสถานะ SHORT ในหุ้นที่อยู่ใน SET50
-ได้ปรับคำแนะนำให้”ซื้อเก็งกำไร” แบบ SELECTIVE BUY ในปลายเดือนสิงหาคมและแนะนำ “ขายทำกำไร หรือขายลดความเสี่ยงในปลายตุลาคม 2558 เมื่อ SET ขึ้นไม่ผ่านเขตแนวต้าน DOWNTREND LINE เขต 1,430 จุด
-ได้ปรับปรุงความเห็นและคำแนะนำเป็น”เข้าซื้อเมื่อ FED ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย” ในช่วงวันที่ 14-17 ธันวาคม ณ ระดับดัชนี SET 1,250 จุด+/-
-อย่างไรก็ตามควรจะยอมรับอย่างแมน ๆ ด้วยว่า คำทำนายเรื่องขาลงในปี 2558 ของผมนั้นนับว่า “ห่างเป้า” ไปเยอะพอสมควรนะครับ...ทั้งนี้ผมได้จัดทำรายงานและเผยแพร่ออกมาในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 สรุปว่า “หุ้นไทยจะตกต่ำในช่วงครึ่งขาลงของปี 2558 ไปจนถึงสิ้นปี 2558 หรืออาจลากยาวไปถึงกลางปี 2559 โดยจะเป็นการตกลงไปอย่างต่อเนื่องที่เขต 1,200+/- หรือเสี่ยงที่จะร่วงลงอย่างรุนแรงและไหลลึกสู่คลื่น C ที่มีเป้าหมายบริเวณ 700-800 จุดโดยประมาณ”
...ดังที่ทราบกันไปแล้วคือ ตอนช่วงใกล้สิ้นปี 2558 หุ้นไทยตกมาเพียงเขต 1,250 ไม่ได้ร่วงแรงไหลลึกสู่คลื่น C แต่อย่างใด
และผมก็ได้ปรับคำแนะนำเป็น “ให้กลับเข้าตลาดช้อนซื้อหุ้นเมื่อ FED ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย” ในช่วงวันที่ 14-17 ธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว โดยเห็นว่าความเสี่ยงที่จะร่วงไหลลึกลงไป 700-800 จุดนั้นมีน้อยลงมากแล้ว (โดยเฉพาะหากยืนมาปิดระดับ1,200 จุดเอาไว้ได้)
2).ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อตลาดหมีปี 2558
หากเทียบกับดัชนี SET เมื่อสินปี 2557 มาถึงสิ้นปี 2558 ดัชนี SET ปรับตัวลงราว 15% โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายสุทธิออกมาราว 1.5แสนล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่มีผลลบต่อ SET คือ
2.1)ความกังวลเรื่อง FED จะขึ้นดอกเบี้ยและเงินทุนจะไหลออก ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยล่วงหน้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมและต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่ง FED ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย
2.2)ข่าวช็อกเศรษฐกิจจีน -ตลาดหุ้นจีนวิ่งขึ้นไปสวนทางปัจจัยพื้นฐานที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงจึงทำให้ร่วงลงมาหนักในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม ส่งผลตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งหุ้นไทยร่วงตาม
2.3)หุ้นน้ำมัน,พลังงานร่วงตามน้ำมันดิบโลก -ราคาน้ำมันดิบโลกที่คงอยู่เหนือระดับ 100$ บาร์เรลในปีก่อน ร่วงลงต่อเนื่องรุนแรงในปี 2558 จนช่วงใกล้สินปี 2558 ลงมาบริเวณที่เคยเป็นจุดต่ำของรอบก่อน (PREVIOUS LOW) บริเวณ 33$ นั้นเคยทำเอาไว้เมื่อปี 2552 ส่งผลให้หุ้นน้ำมัน,พลังงาน,สินค้าโภคภัณฑ์ และเกี่ยวข้องร่วงรุนแรงไหลลึก แบบที่เรียกได้ว่ายอดแย่กว่าหุ้นหมวดอื่น ๆ ในตลาด (UNDER PERFORMING MARKET) และหุ้นพวกนี้ (อย่าง PTT PTTEP TOP)
มีผลต่อน้ำหนักดัชนี SET มาก เมื่อตกมากก็ย่อมทำให้ SET ดูว่าลงมามาก (หากเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นโซ T.I.P. ด้วยกันอย่างอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็ถือได้ว่า ตลาดหุ้นไทยเรา ผลงานปู่เอามาก ๆ ตอนต้นปีเพื่อนเขาขึ้นทำสถิติ ALL TIME HIGH แต่พี่ไทย ไม่สามารถ พอตอนท้ายปีเพื่อนเขาลงมาแบบไม่มี NEW LOW พี่ไทยแถมให้ NEW LOW ซะหลายกิโล..กรรม!)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น