วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

คำตอบที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่แพ้ตลาด และมีเพียงส่วนน้อยที่รวยจากหุ้น

คัมภีร์หุ้นไทย(17ก.ย.): เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ทำไมคนส่วนใหญ่แพ้ตลาด
โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com

1.จิตวิทยาของมวลชนมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างไร?

1.1ในยามที่ตลาดสดใสภาวะกระทิง-มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมองโลกในแง่ดี(Optimism) จึงคิดจะซื้อหุ้น และเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ(Excitement) กระทั่งรู้สึกเสียวเพราะหุ้นขึ้นดีเหลือใจ(Thrill) และเมื่อหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มวลชในตลาดอิ่บอาบซาบซึ้ง(Euphoria)ว่าตลาดขาขึ้นคงจะมีอยู่ตลอดไป ลงไม่เป็นแล้ว

1.2ในยามที่ตลาดขาลงตลาดหมี-หลังผ่านพ้นช่วงอิ่มอาบซาบซึ้งแล้ว ราคาหุ้นมักเริ่มตก เมื่อคนในตลาดส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นคงตกไม่เป็นแล้ว ช่วงแรกมวลชนในตลาดอาจจะแค่รู้สึกกังวล(Anxiety)กับการที่ราคาหุ้นเริ่มตก แต่ปฏิกริกายาในช่วงแรกๆมักจะปฏิเสธ(Denial)ว่าหุ้นไม่ควรตก เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆยังดีอยู่ ไม่เห็นมีอะไรแย่ แต่ราคาหุ้นก็ตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ฝูงชนกลัว(Fear) แต่ก็ยังไม่ยอมขายหุ้น ทว่าราคาหุ้นยังตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)

แต่แล้วพอหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เริ่มโงหัว ก่อให้เกิดความหวัง(Hope)ขึ้นมา และรู้สึกคลี่คลายลงคิดว่ามีมืดก็ย่อมมีสว่าง(Relief) และแล้วมวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นก็มองโลกในแง่ดี(Optimism)อีกวาระ และเวียนวนเป็นวัฏจักรไปเช่นนี้

ตามกฎ80:20นั้น มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นผู้แพ้ เสียหายในตลาดหุ้น เพราะเป็นคนที่แห่ตามๆกันไป ไปตามอารมณ์ ขณะที่เพียง20%เท่านั้นเป็นผู้ชนะ คน20%นั้นมียุทธวิธีลงทุนแบบชาวสวน(Contrarian) กล่าวคือเมื่อมวลชนส่วนใหญ่แห่ไล่ราคาหุ้นขึ้นมายอดดอย คนเหล่านี้จะถือเป็นโอกาสขายทำกำไร เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นขึ้นมาเกินกว่าราคาปัจจัยพื้นฐานมากๆ

ขณะเดียวกันเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก คนส่วนใหญ่แย่งกันขายหนีตาย คนเหล่านี้จะทยอยเก็บหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากราคาปัจจัยพื้นฐาน

ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวในตลาดหุ้น นอกจากการที่ท่านต้องรู้จักตลาดหุ้นเป็นอย่างดี รู้จังหวะเข้าออกเป็นอย่างดี ท่านยังต้องรู้จักอารมณ์และสภาพจิตใจของตนเอง และมวลชนในตลาดด้วย
***********************
1.ปัจจัยเฝ้า ยังควรระมัดระวังธปท.จะแทรกแซงค่าเงิน ส่งผลให้ฝรั่งขายทำกำไรลดความเสี่ยง กดดันตลาดหุ้นตก



สถานการณ์-วันก่อนค่าเงินบาทเรื่มอ่อนลงมาใกล้แนวรับใหญ่30.96บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้เนื่องจากการแทรกแซงค่าเงินสกุลเอเชีย นำโดย ญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงครั้งแรกในรอบ 6 ปี จึงน่าเชื่อว่า ธนาคารกลางในเอเชียอื่นๆ(รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย)จะประกาศในทิศทางเดียวกัน เนื่องจาก ประสบปัญหาค่าเงินตัวเองแข็งค่ามากเกินไปจนกระทบต่อภาคการส่งออก ซึ่งทำให้คาดว่า ค่าเงินบาทอาจมีการอ่อนค่าไปที่บริเวณ 30.96 บาท/US$ และหากอ่อนทะลุแนวรับดังกล่าว เป้าหมายต่อไปน่าอ่อนลงไปเขต 31.35 บาท/US$+/-

การกลับมาอ่อนค่าลง ของสกุลเอเชียเทียบดอลล์สหรัฐฯ จะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม จากการขายล็อคกำไรของกองทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ตามกลุ่มส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ นำโดย KCE HANA DELTA และกลุ่มเกษตร TUF STA จากการมีนัยสูงด้านบวกต่อบาทอ่อน

*วิธีการแทรกแซงของแบงก์ชาติ เงียบและนักเก็งกำไรขยาด เพราะพิมพ์แบงก์มาแทรกแซงได้ไม่จำกัด- แม้ว่า BoT จะยังไม่มีการประกาศมาตรการใดๆที่จะมาสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินบาท แต่ก็เป็นไปดังที่ให้ข้อสังเกตในวันก่อนคือจะพบว่ามีความเหลื่อมกันระหว่างการซื้อขายในตลาดต่างประเทศ(offshore)ที่มักแข็งค่าขึ้น แต่การซื้อขายตลาดในประเทศ(onshore)ก็อ่อนลงหลายวัน น่าสะท้อนว่าธปท.ได้เข้าแทรกแซงแล้ว

นักค้าเงินกล่าวถึงกลยุทธ์ของแบงก์ชาติว่า ธปท.เคยใช้มาตรการเข้าแทรกแซง(Intervene) แบบไม่จำกัดที่เป้าหมายถึงที่ตั้งไว้ในใจ จนนักลงทุนต่างชาติกลัวและบาทอ่อนค่าลงทันทีจาก 33.12 THB/USD กลับมาอ่อนค่าที่ 34.71 หรือบาทอ่อนค่าลง 4.8% เพียง 26 วันทำการ ในช่วงกลางปี2550 ซึ่งตรงกับสมัยรองนายกโฆษิตและผู้ว่าฯธาริสา

คำถามคือความเสียหายในการที่ธปท. ออกไปปกป้องเวลาที่บาทแข็งค่าจะน้อยกว่าเวลาที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทในเวลาถูกโจมตีให้อ่อนค่า เพราะธปท. สามารถพิมพ์ธนบัตรออกไปกว้านซื้อ USD ได้ไม่จำกัด แล้วค่อยมาออกพันธบัตร Sterilized ที่หลังเพื่อดูดสภาพคล่องออกจากระบบผ่านพันธบัตรดอกเบี้ย RP ที่ 1.75% และเพื่อลดแรงดึงดูดความน่าสนใจในเงินสกุลบาท BoT อาจเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการและลดภาระบัญชีสาธารณะได้อีกทางหนึ่ง งานนี้จะแตกต่างจากเมื่อปี 40 ที่ BoT ออกไป Defend ค่าเงินบาทโดยการรับซื้อ THB จน USD หมดออกไปจากบัญชีทุนสำรอง

สรุปจนถึงตอนนี้หมายถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติจะไม่เหมือนเก่าแล้ว เวลาที่ทอดตัวออกไปน่าจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่ทยอยเข้ามาแลกบาทและบาทเริ่มมีจุดเสถียรภาพชะลอการเก็งกำไรบาท พร้อมๆกับขายบาทและหุ้นออกไปซึ่งผลอาจจะยังไม่เห็นในช่วงสัปดาห์นี้เพราะต้องรอผลจากการ Defend ของธปท. อีกระยะหนึ่ง ผลกระทบจึงจะค่อยๆเกิดให้เห็นประจักษ์ ซึ่งจะส่งผลให้ SET อยู่ในอาการ Sideways คนยังจะไม่เห็นตกชัดๆ

อย่างไรก็ดีเมื่อBOJ หรือธนาคารกลางญี่ปุ่นนำทีมแทรกแซงค่าเงิน เรื่องนี้ก็อาจเป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเร็วขึ้น และต่างชาติก็จะขายหุ้นเร็วขึ้น และตลาดหุ้นอาจตกไวขึ้นกว่าคาดคิดก็ได้

2.ตลาดหุ้นTIP(ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์)กับHot moneyรอบนี้ทำให้ราคาขึ้นนิวไฮ ให้จับตามองยังไปต่อ หรือจะโดนHedge fundขายทำกำไร

สถานการณ์-ประเด็นสำคัญคือเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรปแย่ ดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง หรือยังขึ้นไม่ได้ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดี GDPขยายตัว อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ส่งผลให้เงินทุนจากโซนอเมริกา และยุโรปไหลเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย รวมทั้งมาเล่นหุ้นเก็งกำไร

อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตคือ เม็ดเงินร้อนที่ไหลมาทางเอเชีย หากสังเกตให้ดีจะพบว่าไม่ได้มาทุกตลาดนะครับ จะมาเฉพาะโซนที่ฝรั่งเรียกว่าTIP-Thailand ,Indonesia, Philipines เท่านั้น จากชาร์ตด้านบนจะพบว่าหน้าตาของ3ตลาดหุ้นนี้คล้ายๆกัน ขณะที่ตลาดอื่นๆไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลย์ ญี่ปุ่นฯลฯนั้น ยังไม่ได้ขึ้นมาขนาดนี้

ตอนนี้ตลาดหุ้นTIPไม่ได้เปรียบในแง่ราคาถูกอย่างแต่ก่อนแล้ว

ข้อพิจารณาสำคัญ-ก็คอยจับตาดู3ตลาดนี้นะครับ น่าไปทางเดียวกัน คือหากทำนิวไฮก็ยังไปต่อด้วยกัน แต่หากจะพีครอบนี้ก็น่าจะไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน เพราะมีอิทธิพลจากhot moneyด้วยกัน ตอนนี้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มา4พันจุดเริ่มโดนขาย อินโดนีเซียก็เริ่มมีแรงขาย มันจะลามมาหาหุ้นไทยด้วยไหม เพราะเป็นเงินก้อนเดียวกันก็ให้ดูด้วย...

3.ระหว่างเป้าหมายขึ้นทำนิวไฮ975จุด กับการหมดรอบพีคและลง อันไหนมีโอกาสมากกว่ากัน? และระหว่างความเสี่ยงกับโอกาส อันไหนมากกว่ากัน? จะได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้อง

สถานการณ์-ในชาร์ตรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นภาพระยะกลางของSET กำลังทดสอบแนวต้านพีคเก่า945จุด ซึ่งหากผ่านได้ก็จะขึ้นไปแนวต้านเป้าหมายถัดไป คือแนวต้านuptrend chhhannelบริเวณ975จุด+/- แต่อย่างไรก็ตามหากระยะสัปดาห์ ขึ้นไปไม่มีจุดสูงใหม่(new high) และหรือเกิดลงทำนิวโลว์ต่ำกว่าเขต915จุดก็เสี่ยงจะตกเป็นขาลงขนาดใหญ่ หรือตกปรับฐานได้ระดับ100-150จุด

ข้อพิจารณาเป็นดังนี้

ก.ในทางบวก หากขึ้นดัชนีหุ้นจะมีแนวต้านแรก938ถัดไป 945 หากผ่านอาจไปได้แถวๆ975จุด หรือมีupside gain ราวๆ20จุดหรือขึ้นเต็มที่ราวๆ50จุด

ข.ในทางลบ หากไม่ผ่าน938 หรือไม่มีnew highเกิน945หรือลงหลุดด่าน915จุดเด็ดขาดในระยะสัปดาห์ ก็เสี่ยงจะตกปรับฐาน หรืออาจเป็นขาลงไปแถวๆ850-750จุด หรือมีdown side riskอยู่ราวๆ80-150จุดเป็นประมาณ


*วันนี้มีแนวรับ918-912จุด แนวต้าน932-938จุด

กลยุทธและการจัดพอร์ตการลงทุนช่วงนี้-ในทางตรรกะ(logic) หรือการคิดเชิงเป็นเหตุเป็นผลแล้ว เมื่อสรุปคาดการณ์ว่า ความเสี่ยงมากกว่าโอกาส(เสี่ยงตกเป็น80ถึง150จุด โอกาสขึ้นแค่20หรือ50จุด) ก็เป็นธรรมดาว่าควรที่จะลดน้ำหนักการลงทุนให้น้อยลง เช่น อาจมีพอร์ตลงทุนในหุ้นไม่เกิน30%หรือเต็มที่ไม่เกิน50% และถือเงินสดให้มากขึ้น เช่น อาจมีเงินสดเกินกว่า50%หรืออาจจะระดับ70-80% หากจะพัวพันในหุ้นก็อาจราว20-30% หรือไม่เกิน50% เพราะความเสี่ยงมากขึ้น

บางท่านบอกว่าทำไมไม่เห็นตลาดหุ้นตกเสียที หลังจากผมแนะนำขายมาตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน คำตอบคือผมมองภาพใหญ่ตั้งแต่กันยายน ตุลาคม อาจจะถึงกลางธันวาคม เป็นทิศทางลงครับ โดยเคยให้ความเห็นว่าอาจขึ้นมาพีคในเดือนกันยายนและเริ่มจะตกในเดือนนี้ หากจะตกแรงๆตกหนักๆนั้นผมยังคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม(ตามมาด้วยการตกต่อและซึมตลอดพฤศจิกายนไปจนถึงธันวาคม)

เพราะฉะนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่ประเมินไว้ครับว่าเดือนกันยายนจะเริ่มตก ท่านอย่าร้อนใจไปเลยหากขายหุ้นออกมาแล้ว ก็ถือเงินสดห่อกำไรไว้ก่อนจะดีกว่า


4.SET50 ระหว่างความเสี่ยงกับโอกาส


แนวโน้ม-สัปดาห์นี้มีแนวต้าน650จุด ซึ่งแนะนำว่าควรขายหากำไรขาลง เนื่องจากบริเวณ650(หรือ654)เป็นแนวต้านuptrend channelสำคัญ กรณีไม่ผ่านก็อาจตกลงไปตั้งแต่615-620ถัดไป600หรือ585จุด หรือกรอบล่าสุด550จุด

อย่างไรก็ตามเมื่อวานก่อนนี้ร่วงลงมาแถว620จุดแล้วฟื้นไปปิดแถว633จุด ชาร์ตแท่งเทียนมีรูปแบบhammerเป็นสัญญาณทางบวก ดังนั้นวันนี้อาจฟื้นตัวต่อเนื่องขึ้นไปเขต638-640จุด แต่กรณีดีสุดก็ยังคาดว่าไปได้ไม่เกิน650จุด+/-

ดังนั้นจึงแนะนำให้”ขายเพื่อหากำไรขาลง”ที่เขตแนวต้าน โดยหากลงไปต่ำกว่าเขต630 ก็ควรคาดว่าจะเริ่มเป็นทิศทางขาลงรอบใหญ่ได้ คือลงไปอย่างน้อยๆแถว600จุด หรือกระทั่ง550จุด

พิจารณาดังนี้

ก.ในทางขาขึ้นมีupsideคือช่วงขาขึ้นอาจเพียง7-15จุด
ข.ในทางลง มีความเสี่ยงขาลงมากถึง40-เกือบ100จุด

กลยุทธ์การลงทุน-เมื่อพิจารณาว่าโอกาสของขาขึ้นมีจำกัด ขณะที่ความเสี่ยงของขาลงมาก ก็ไม่ควรเน้นเทรดขาขึ้นแล้ว หากมีหุ้นก็อาจขายทำกำไรหากSET50ขึ้นไปเขต640-650จุด ในทางกลับกันหากลงไปต่ำกว่าเขต630จุดเด็ดขาด ก็น่า”เปิดสถานะขายซ้ำ”เพื่อทำกำไรขาลง
****************

อบรมมือใหม่หัดเล่นหุ้นให้รวยรุ่นที่ 25 /อาทิตย์ที่ 19 เดือน9นี้

-รอบนี้เพิ่มเติมเรื่องการลงทุนในทองคำแท่ง,ทองฟิวเจอร์ และค่าเงินบาท กับค่าเงินต่างประเทศให้ในสถานการณ์เงินทุนไหลเข้า จนค่าเงินบาทแข็งโป๊ก
*ลงทุนในตลาดหุ้น หรือซื้อกองทุนอย่างไรให้ได้รับผลตอบแทนดี มั่นคงมั่งคั่ง
*แต่นี่เป็นเงินที่หามายากเย็น ทำอย่างไรจะไม่เสี่ยงหมดเนื้อหมดตัว
*ลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าฝากแบงก์ก็จริง แต่!อย่าเสี่ยงเข้ามาลองผิดลองถูกในตลาดหุ้น
*ลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่การปาเป้าไปโดนตัวไหนก็รวย เพราะตลาดเป็นขาขึ้น
*ลงทุน-เล่นหุ้นก็เหมือนทุกอย่างในโลกนี้ต้องเรียนรู้ก่อน
*สอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ วันเดียบจบ
*สอนตั้งแต่ไม่รู้เรื่องจนลงทุนเป็น
*สอนในห้องค้าจำลอง ใช้ภาษาง่ายๆเข้าใจเร็ว
*สอนคัดหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยด้วยตัวท่านเอง
*สอนจังหวะเข้า-ออกทำกำไรงาม พร้อมตัวอย่างจริง
*เหมาะกับทั้งมือใหม่ หรือผู้ลงทุนมาแล้วแต่ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง
*หลักสูตรนี้เหมาะกับผู้เริ่มต้นวัยเยาวชน ไปถึงคนเกษียณอายุที่จะลงทุนให้ถูกวิธี
*ด้วยค่าเรียนคุ้มค่าที่สุดเพียงท่านละ3,000บาท หรือครอบครัวละ5,000บาท
*สอนโดยอ.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ผู้ดำเนินรายการเพื่อนนักลงทุน TRUE VISION 7
*สำรองที่นั่ง จำนวนจำกัด รุ่นละ 10 ครอบครัว ไม่เกิน 20 ท่านเท่านั้น โทร.029275800

อบรมทีเด็ดรวยหุ้นเด่นด้วยเทคนิคขั้นเทพ (เหมาะกับผู้ที่เคยผ่านการอบรมหลักสูตรมือใหม่เล่นหุ้นมาแล้ว) งานมีวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน

-สอนวิธีคัดสรรหุ้นเด่นพื้นฐานดีด้วยตัวคุณเอง
-สอนวิธีคัดสรรหุ้นเด่นเทคนิคสวยอนาคตวิ่งที่เป็นสูตรเฉพาะ
-สอนเทคนิคการเข้าและออก ซื้อและขายให้ทำกำไรไม่ติดหุ้น ไม่ผิดทาง
-สอนในแง่มิติเวลาว่าเมื่อไรน่าซื้อ เมื่อไรน่าขาย
-สอนวัดเป้าหมายการวิ่งขึ้น และเป้าหมายการตก แนวรับVSแนวต้าน
-สอนวิธีอ่านเกมรู้ทันเจ้ามือหุ้น,ฝรั่งด้วยกราฟเทคนิค
-สอนเทคนิคดูกราฟอย่างง่าย เข้าใจเร็ว นำไปตัดสินใจลงทุนได้จริง
-หลักสูตรเร่งรัดวันเดียวจบ รู้เรื่องง่าย เข้าใจเร็ว ไม่ยุ่งและไม่ยากอย่างทึ่คิด
-สอนดูทิศทางหุ้น,TFEX,น้ำมัน,ทองคำ,ค่าเงิน
-สอนจากประสบการณ์ตรงที่ใช้มานานมากกว่า 15 ปี
*สอนโดยอ.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ผู้ดำเนินรายการเพื่อนนักลงทุน TRUE VISION 7
*สำรองที่นั่ง จำนวนจำกัด รุ่นละ 10 ครอบครัว ไม่เกิน 20 ท่านเท่านั้น โทร.029275800(เรียนเฉพาะวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์)

หรือ โทรมือถือ 087-717-8979 (คุณชัชฎา) 087-717-4979 (คุณสุเมธ), 087-717-4939 (คุณเมทิกา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น