โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp
อะไรคือ BULLISH DIVERGENCE? -ราคาหุ้นลงทำnew low แต่RSIไม่ลงnew lowด้วย(หากให้ดีควรไปดูราค า ณ ตอนปิดสิ้นวัน หรือใกล้ๆสิ้นวันแถวๆ16.30น .จะแม่นยำและน่าเชื่อถือกว่ า) จะเป็นสัญญาณการกลับทิศทางข องตลาด จากเคยลงมาหนักจะพลิกเปลี่ย นไปเล่นทางขึ้น
กลยุทธ์-ช่วงนี้ได้ลุ้นทางบวกไปข้อแรกครับคือลงมาเมื่อวานนี้เกิดสัญญาณการกลับตัวในรูปแบบRSI BULLISH DIVERGENCE
ให้รออีกตัวต่อไป คือหากเห็นมียอดสูงใหม่กว่าเที่ยวก่อนเขต1410-1415จะหนุนตลาดกลับทิศทาง
คือ เปลี่ยนจากขาลงไปเป็นทางขาขึ้น หากเจอสัญญาณอันที่2ชัด ก็น่าจะซื้อหุ้น
ไม่ว่าจะซื้อเฉลี่ยแก้ไขพอร์ตในตัวที่ติดไว้ หรือเพื่อซื้อเล่นรอบใหม่ก็ตาม
แต่ไม่ควรขายหุ้นที่ติดไว้ทิ้งแล้วในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มพบสัญญาณว่าอาจทำจุดbottom outของขาลงเที่ยวนี้(ที่ตกจาก1650มาที่1338 หรือลงมาราว20%เจอแล้ว หากมาขายเขตนี้ก็เสี่ยงจะเป็นการขายทิ้งในราคาต่ำสุดของเที่ยวนี้ครับ)
*********
เรื่องเกี่ยวเนื่องที่แนะนำให้อ่าน:
ความจริงง่ายๆ9ข้อในเวลานี้ ทำไงดีกับหุ้นและชีวิต ไปช้อนซื้อทองคำดีไหม?
1.ท่านที่ขัดใจว่าฝรั่งทำไมขายได้ขายดี อันนี้เป็นปกติครับกำไรเขาก็ขาย...คอยดูว่าเมื่อไหร่เขาจะหยุดขาย หรือจะขายต่อ ก็อาจดูค่าเงินบาทที่ผมเอามาให้ดูบ่อยๆประกอบนะครับ
ชาร์ตที่1:ค่าเงินบาทวันนี้อ่อนลงทะลุด่าน31.16 ท่าทางจะอ่อนลงไปเขตเป้าหมายหลัก31.85-32บาท/ดอลลาร์ ก็ควรคาดการณ์ว่าฝรั่งยังน่าจะขายต่อไปครับ
2.ท่านที่อยากให้รวมพลังคนไทยไปสู้ฝรั่ง..อย่าดีกว่าครับ ตลาดหุ้นไทยตั้งมา38ปีมานี้ สู้ฝรั่งไม่เคยได้หรอกครับ เขาขายก็ตก เขาซื้อมันก็ขึ้น
3.ท่านที่พยายามหาแนวรับหรือจุดbottom outตลาด ก็ทำกันไปครับ(รวมทั้งผม) แต่ที่น่าทำมากกว่าคือ ไม่ต้องไปเสียเวลาหาก็ได้ครับ มันต่ำสุดเมื่อไหร่ เราก็ไปรู้ตอนหลังนั่นแหละ รอหาจุดที่เป็นturning pointหรือจุดกลับตัวของตลาดอาจง่ายกว่าครับ...เช่น หากลงเที่ยวนี้ไม่มีnew lowกว่าเที่ยวก่อน(1350) อันนี้ท่านนับ1ไว้ในใจครับว่า อาจจะคลำพบแล้ว...แต่หากให้ชัวร์ก็ต้องขึ้นไปผ่านจุดไฮล่าสุด1492ที่ทำไว้ อันนี้ชัดครับ
ในทางตรงกันข้ามหากมันตกมาเที่ยวนี้new lowกว่า1350 (และไม่มีbullish divergence)ก็แสดงว่าขาลงยังไม่จบครับ อีกยาวจัดเยอะ เช่นอาจลงไปเขต1300+/- หรือแถวๆ1250-1280จุดได้
4.เรื่องที่2กับ3นั้นสัมพันธ์กันครับ หากค่าบาทอ่อนต่อเกิน31.16แสดงว่าฝรั่งขายต่อ หุ้นก็ตกต่อ แต่หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็จะกลับขึ้นได้ครับ
5.ท่านที่พยายามหาหุ้นเล่น ผมยอมรับว่าเที่ยวนี้ลำบากครับ ที่ผมเจอมาในรอบ20กว่าปีในตลาด หากตลาดตกๆแบบนี้ เดิมจะเป็นพวกหุ้นใหญ่ในSET50ตกครับ พวกตัวเล็กๆน่ารักๆจะสวนทางให้ได้เล่นกันสนุกสนาน แต่เที่ยวนี้เปล่าครับ ไอ้ตัวเล็กๆลงทุเรศกว่าตัวใหญ่ก็เยอะไป..หุ้นVIก็เล่นกันไม่เหมือนก่อน ลงยังกับว่าตัวเองเป็นหุ้นใหญ่ในSET50 เพราะนั้นหาหุ้นที่"เก่งกว่าตลาด"ลำบาก...เห็นๆอยู่ก็พวกน้ำมัน เคมีบางตัวครับแข็ง แต่ก็ต้องดูทิศทางราคาน้ำมันโลกประกอบด้วย
6.ท่านที่บอกว่าไม่ไหวแล้วจะเทขายหุ้นทิ้งไปช้อนทองคำดีกว่าเพราะกำลังตกมาน่าซื้อ ระวังหนีเสือปะจรเ้ข้ครับ เพราะทองมันหลุดกรอบสามเหลี่ยมเขต1350นี่เป็นสัญญาณจะตกเยอะครับ ยิ่งมานิวโลว์กว่า1320$ที่ทำไว้ตอนสงกรานต์ยิ่งลำบาก คิดไว้ก่อนว่าจะลงไปโน่นครับ1200$+/-
7.อย่าไปพยายามหาเงินมาสู้ โดยเฉพาะการกู้เงินหรือยืมมาร์จิ้นมาช้อน หากยังไม่เห็นจุดจบbottomและการกลับตัวของตลาด ปัญหาที่หนักอยู่แล้วมันจะหนักหนาขึ้นครับ...เอาว่าหากเจอจุดต่ำสุดและการกลับตัวที่ชัดเจน ผมจะแจ้งให้ไวครับ
8.หุ้นที่มีอยู่และติดหนักลงเยอะ ให้ไปตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของมันครับ หากของยังดีมีอนาคต ราคาลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เมื่อตลาดหายฝุ่นตลบและฟื้นขึ้นไป ราคามันก็จะกลับไปหาปัจจัยพื้นฐานได้ ตอนนี้ท่านก็ต้องสวมบทเป็น”นักลงทุน”ที่ต้องถือหุ้นไว้ครับ ยกเว้นว่าตัวไหนชัดๆว่าไร้อนาคต หมดทางฟื้น อันนั้นก็หาโอกาสขายออกในจังหวะที่ตลาดฟื้นตัวreboundครับ
9.ท่านที่ไม่รู้จะทำยังไงในนาทีนี้มันเครียด เชิญไปพักครับ โลกนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องหุ้นเรื่องการลงทุน มีอะไรๆที่น่าทำอีกเยอะเลยครับ หายเครียดเมื่อไหร่ก็มาสู้กัีนใหม่
*********
ตรวจสอบจิตวิทยาของท่านและฝูงชนในตลาดทุกครั้งยามที่ฮึกเหิมไม่กลัวตาย และยามที่สิ้นหวังมืดมนสุดขีด
จิตวิทยาของมวลชนมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างไร?
1.ในยามที่ตลาดสดใสภาวะกระทิง-มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมองโลกในแง่ดี(Optimism) จึงคิดจะซื้อหุ้น และเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ(Excitement) กระทั่งรู้สึกเสียวเพราะหุ้นขึ้นดีเหลือใจ(Thrill) และเมื่อหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มวลชในตลาดอิ่บอาบซาบซึ้ง(Euphoria)ว่าตลาดขาขึ้นคงจะมีอยู่ตลอดไป ลงไม่เป็นแล้ว
2ในยามที่ตลาดขาลงตลาดหมี-หลังผ่านพ้นช่วงอิ่มอาบซาบซึ้งแล้ว ราคาหุ้นมักเริ่มตก เมื่อคนในตลาดส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นคงตกไม่เป็นแล้ว ช่วงแรกมวลชนในตลาดอาจจะแค่รู้สึกกังวล(Anxiety)กับการที่ราคาหุ้นเริ่มตก แต่ปฏิกริกายาในช่วงแรกๆมักจะปฏิเสธ(Denial)ว่าหุ้นไม่ควรตก เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆยังดีอยู่ ไม่เห็นมีอะไรแย่ แต่ราคาหุ้นก็ตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ฝูงชนกลัว(Fear) แต่ก็ยังไม่ยอมขายหุ้น ทว่าราคาหุ้นยังตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)
แต่แล้วพอหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เริ่มโงหัว ก่อให้เกิดความหวัง(Hope)ขึ้นมา และรู้สึกคลี่คลายลงคิดว่ามีมืดก็ย่อมมีสว่าง(Relief) และแล้วมวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นก็มองโลกในแง่ดี(Optimism)อีกวาระ และเวียนวนเป็นวัฏจักรไปเช่นนี้
ตามกฎ80:20นั้น มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นผู้แพ้ เสียหายในตลาดหุ้น เพราะเป็นคนที่แห่ตามๆกันไป ไปตามอารมณ์ ขณะที่เพียง20%เท่านั้นเป็นผู้ชนะ คน20%นั้นมียุทธวิธีลงทุนแบบชาวสวน(Contrarian) กล่าวคือเมื่อมวลชนส่วนใหญ่แห่ไล่ราคาหุ้นขึ้นมายอดดอย คนเหล่านี้จะถือเป็นโอกาสขายทำกำไร เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นขึ้นมาเกินกว่าราคาปัจจัยพื้นฐานมากๆ
ขณะเดียวกันเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก คนส่วนใหญ่แย่งกันขายหนีตาย คนเหล่านี้จะทยอยเก็บหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากราคาปัจจัยพื้นฐาน
ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวในตลาดหุ้น นอกจากการที่ท่านต้องรู้จักตลาดหุ้นเป็นอย่างดี รู้จังหวะเข้าออกเป็นอย่างดี ท่านยังต้องรู้จักอารมณ์และสภาพจิตใจของตนเอง และมวลชนในตลาดด้วย
................
หากให้ผมดู ตอนนี้ผมว่าอารมณ์ตลาดอยู่แถวๆ ราคาหุ้นตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และกำลังเข้าสู่ระยะต่อไปคือ และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)
ถามตัวเองว่า ตอนนี้ท่านอยู่ในช่วงอารมณ์ไหน...?
แต่ไม่ควรขายหุ้นที่ติดไว้ทิ้งแล้วในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มพบสัญญาณว่าอาจทำจุดbottom outของขาลงเที่ยวนี้(ที่ตกจาก1650มาที่1338 หรือลงมาราว20%เจอแล้ว หากมาขายเขตนี้ก็เสี่ยงจะเป็นการขายทิ้งในราคาต่ำสุดของเที่ยวนี้ครับ)
*********
เรื่องเกี่ยวเนื่องที่แนะนำให้อ่าน:
ความจริงง่ายๆ9ข้อในเวลานี้ ทำไงดีกับหุ้นและชีวิต ไปช้อนซื้อทองคำดีไหม?
1.ท่านที่ขัดใจว่าฝรั่งทำไมขายได้ขายดี อันนี้เป็นปกติครับกำไรเขาก็ขาย...คอยดูว่าเมื่อไหร่เขาจะหยุดขาย หรือจะขายต่อ ก็อาจดูค่าเงินบาทที่ผมเอามาให้ดูบ่อยๆประกอบนะครับ
ชาร์ตที่1:ค่าเงินบาทวันนี้อ่อนลงทะลุด่าน31.16 ท่าทางจะอ่อนลงไปเขตเป้าหมายหลัก31.85-32บาท/ดอลลาร์ ก็ควรคาดการณ์ว่าฝรั่งยังน่าจะขายต่อไปครับ
2.ท่านที่อยากให้รวมพลังคนไทยไปสู้ฝรั่ง..อย่าดีกว่าครับ ตลาดหุ้นไทยตั้งมา38ปีมานี้ สู้ฝรั่งไม่เคยได้หรอกครับ เขาขายก็ตก เขาซื้อมันก็ขึ้น
3.ท่านที่พยายามหาแนวรับหรือจุดbottom outตลาด ก็ทำกันไปครับ(รวมทั้งผม) แต่ที่น่าทำมากกว่าคือ ไม่ต้องไปเสียเวลาหาก็ได้ครับ มันต่ำสุดเมื่อไหร่ เราก็ไปรู้ตอนหลังนั่นแหละ รอหาจุดที่เป็นturning pointหรือจุดกลับตัวของตลาดอาจง่ายกว่าครับ...เช่น หากลงเที่ยวนี้ไม่มีnew lowกว่าเที่ยวก่อน(1350) อันนี้ท่านนับ1ไว้ในใจครับว่า อาจจะคลำพบแล้ว...แต่หากให้ชัวร์ก็ต้องขึ้นไปผ่านจุดไฮล่าสุด1492ที่ทำไว้ อันนี้ชัดครับ
ในทางตรงกันข้ามหากมันตกมาเที่ยวนี้new lowกว่า1350 (และไม่มีbullish divergence)ก็แสดงว่าขาลงยังไม่จบครับ อีกยาวจัดเยอะ เช่นอาจลงไปเขต1300+/- หรือแถวๆ1250-1280จุดได้
4.เรื่องที่2กับ3นั้นสัมพันธ์กันครับ หากค่าบาทอ่อนต่อเกิน31.16แสดงว่าฝรั่งขายต่อ หุ้นก็ตกต่อ แต่หากเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็จะกลับขึ้นได้ครับ
5.ท่านที่พยายามหาหุ้นเล่น ผมยอมรับว่าเที่ยวนี้ลำบากครับ ที่ผมเจอมาในรอบ20กว่าปีในตลาด หากตลาดตกๆแบบนี้ เดิมจะเป็นพวกหุ้นใหญ่ในSET50ตกครับ พวกตัวเล็กๆน่ารักๆจะสวนทางให้ได้เล่นกันสนุกสนาน แต่เที่ยวนี้เปล่าครับ ไอ้ตัวเล็กๆลงทุเรศกว่าตัวใหญ่ก็เยอะไป..หุ้นVIก็เล่นกันไม่เหมือนก่อน ลงยังกับว่าตัวเองเป็นหุ้นใหญ่ในSET50 เพราะนั้นหาหุ้นที่"เก่งกว่าตลาด"ลำบาก...เห็นๆอยู่ก็พวกน้ำมัน เคมีบางตัวครับแข็ง แต่ก็ต้องดูทิศทางราคาน้ำมันโลกประกอบด้วย
6.ท่านที่บอกว่าไม่ไหวแล้วจะเทขายหุ้นทิ้งไปช้อนทองคำดีกว่าเพราะกำลังตกมาน่าซื้อ ระวังหนีเสือปะจรเ้ข้ครับ เพราะทองมันหลุดกรอบสามเหลี่ยมเขต1350นี่เป็นสัญญาณจะตกเยอะครับ ยิ่งมานิวโลว์กว่า1320$ที่ทำไว้ตอนสงกรานต์ยิ่งลำบาก คิดไว้ก่อนว่าจะลงไปโน่นครับ1200$+/-
7.อย่าไปพยายามหาเงินมาสู้ โดยเฉพาะการกู้เงินหรือยืมมาร์จิ้นมาช้อน หากยังไม่เห็นจุดจบbottomและการกลับตัวของตลาด ปัญหาที่หนักอยู่แล้วมันจะหนักหนาขึ้นครับ...เอาว่าหากเจอจุดต่ำสุดและการกลับตัวที่ชัดเจน ผมจะแจ้งให้ไวครับ
8.หุ้นที่มีอยู่และติดหนักลงเยอะ ให้ไปตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของมันครับ หากของยังดีมีอนาคต ราคาลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ เมื่อตลาดหายฝุ่นตลบและฟื้นขึ้นไป ราคามันก็จะกลับไปหาปัจจัยพื้นฐานได้ ตอนนี้ท่านก็ต้องสวมบทเป็น”นักลงทุน”ที่ต้องถือหุ้นไว้ครับ ยกเว้นว่าตัวไหนชัดๆว่าไร้อนาคต หมดทางฟื้น อันนั้นก็หาโอกาสขายออกในจังหวะที่ตลาดฟื้นตัวreboundครับ
9.ท่านที่ไม่รู้จะทำยังไงในนาทีนี้มันเครียด เชิญไปพักครับ โลกนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องหุ้นเรื่องการลงทุน มีอะไรๆที่น่าทำอีกเยอะเลยครับ หายเครียดเมื่อไหร่ก็มาสู้กัีนใหม่
*********
ตรวจสอบจิตวิทยาของท่านและฝูงชนในตลาดทุกครั้งยามที่ฮึกเหิมไม่กลัวตาย และยามที่สิ้นหวังมืดมนสุดขีด
จิตวิทยาของมวลชนมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างไร?
1.ในยามที่ตลาดสดใสภาวะกระทิง-มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมองโลกในแง่ดี(Optimism) จึงคิดจะซื้อหุ้น และเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ(Excitement) กระทั่งรู้สึกเสียวเพราะหุ้นขึ้นดีเหลือใจ(Thrill) และเมื่อหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มวลชในตลาดอิ่บอาบซาบซึ้ง(Euphoria)ว่าตลาดขาขึ้นคงจะมีอยู่ตลอดไป ลงไม่เป็นแล้ว
2ในยามที่ตลาดขาลงตลาดหมี-หลังผ่านพ้นช่วงอิ่มอาบซาบซึ้งแล้ว ราคาหุ้นมักเริ่มตก เมื่อคนในตลาดส่วนใหญ่คิดว่าหุ้นคงตกไม่เป็นแล้ว ช่วงแรกมวลชนในตลาดอาจจะแค่รู้สึกกังวล(Anxiety)กับการที่ราคาหุ้นเริ่มตก แต่ปฏิกริกายาในช่วงแรกๆมักจะปฏิเสธ(Denial)ว่าหุ้นไม่ควรตก เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆยังดีอยู่ ไม่เห็นมีอะไรแย่ แต่ราคาหุ้นก็ตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ฝูงชนกลัว(Fear) แต่ก็ยังไม่ยอมขายหุ้น ทว่าราคาหุ้นยังตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)
แต่แล้วพอหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เริ่มโงหัว ก่อให้เกิดความหวัง(Hope)ขึ้นมา และรู้สึกคลี่คลายลงคิดว่ามีมืดก็ย่อมมีสว่าง(Relief) และแล้วมวลชนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นก็มองโลกในแง่ดี(Optimism)อีกวาระ และเวียนวนเป็นวัฏจักรไปเช่นนี้
ตามกฎ80:20นั้น มวลชนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นผู้แพ้ เสียหายในตลาดหุ้น เพราะเป็นคนที่แห่ตามๆกันไป ไปตามอารมณ์ ขณะที่เพียง20%เท่านั้นเป็นผู้ชนะ คน20%นั้นมียุทธวิธีลงทุนแบบชาวสวน(Contrarian) กล่าวคือเมื่อมวลชนส่วนใหญ่แห่ไล่ราคาหุ้นขึ้นมายอดดอย คนเหล่านี้จะถือเป็นโอกาสขายทำกำไร เมื่อพิจารณาว่าราคาหุ้นขึ้นมาเกินกว่าราคาปัจจัยพื้นฐานมากๆ
ขณะเดียวกันเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก คนส่วนใหญ่แย่งกันขายหนีตาย คนเหล่านี้จะทยอยเก็บหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากราคาปัจจัยพื้นฐาน
ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลวในตลาดหุ้น นอกจากการที่ท่านต้องรู้จักตลาดหุ้นเป็นอย่างดี รู้จังหวะเข้าออกเป็นอย่างดี ท่านยังต้องรู้จักอารมณ์และสภาพจิตใจของตนเอง และมวลชนในตลาดด้วย
................
หากให้ผมดู ตอนนี้ผมว่าอารมณ์ตลาดอยู่แถวๆ ราคาหุ้นตกต่ำต่อเนื่อง(Depression) จนทำให้มวลชนตื่นผวาเสียขวัญ(Panic) และกำลังเข้าสู่ระยะต่อไปคือ และเมื่อราคาหุ้นตกอย่างหนัก เช่น ขาดทุนในระดับ50%มวลชนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้(Capitulation) และเสียขวัญกำลังใจ(Despondency) หลายคนสาปส่งลาขาดตลาดหุ้นด้วยความสิ้นหวัง(Desperation)
ถามตัวเองว่า ตอนนี้ท่านอยู่ในช่วงอารมณ์ไหน...?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น