วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556
Nelson Mandela สันติภาพVSความชิงชัง
Nelson Mandela-Invictus
"I thank whatever gods may be
For my unconquerable soul.
I am the master of my fate:
I am the captain of my soul."
เนลสัน แมนเดล่า ถึงแก่อสัญกรรม และมีหลายเรื่องที่อยู่ในความจดจำของโลก
ผมชอบที่จะจดจำบทกวี และหนัง Invictus และอยากแนะนำให้คนไทยได้ดูกันทุกๆคน บางทีอาจได้บทเรียนร่วมสมัยในยามนี้ ที่เราเกลียดชังกันเหลือเกินในระยะ7-8 ปีมานี้
เป็นหนังดราม่าชีวประวัติที่นำแสดงโดย แม็ตต์ เดม่อน และ มอร์แกน ฟรีแมนฝีมือการกำกับของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เล่าเรื่องประวัติของ เนลสันแมนเดล่า ในปีแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศแอฟริกาใต้..หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองยาวนานของชนผิวขาวส่วนน้อยผู้ปกครอง กับคนผิวดำส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้การปกครองกดขี่มายาวนาน
แมนเดล่า พยายามผลักดันทีมรักบี้ของประเทศแอฟริกาใต้ให้ได้แชมป์ Rugby World Cup ในปี 1995 แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเกมกีฬานัดนั้นได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอาฟริกาใต้ไปอย่างสิ้นเชิง
ในปีค.ศ. 1990 แมนเดลาออกมาจากคุกที่คุมขังที่ยาวนาน 27 ปี การเจรจาเริ่มขึ้นแม้ว่าจะล้มเหลวหลายครั้งเพราะความโกรธแค้นของคนผิวดำที่สะสมมาตลอดและอยากแก้แค้นเอาคืนพวกผิวขาว"ที่กดขี่มานาน"
และความกลัวของคนผิวขาวที่กังวลว่าวิถีชีวิตความสะดวกสบายของพวกตนที่ดำเนินมายาวนาน จะถูกคนผิวสีมาแย่งชิงมันไป นับแต่"ผู้ก่อการร้ายเนลสัน แมนเดล่า"ได้รับอิสรภาพ
แต่สุดท้ายแล้วชาวแอฟริกาใต้ก็ร่วมกันประคับประคองประเทศให้รอดพ้นสถานะรัฐล้มเหลวมาได้
การเลือกตั้งครั้งแรกที่ประชากรทุกคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเกิดขึ้นในปี1994 โดยเนลสัน แมนเดลา ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี เขากล่าวปราศรัยว่าจะไม่มีอีกแล้วสำหรับประเทศที่"น่าชิงชัง"แห่งนี้ในโลกใบนี้
แต่นั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แม้ว่าแมนเดลาจะสามารถชนะการเลือกตั้งกลายเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก เขากลับมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่นั่นคือประสานรอยร้าวของคนในชาติ ลดความโกรธแค้นและเกลียดชังของคนผิวสีในขณะเดียวกันก็ต้องให้ความเชื่อมั่นต่อคนผิวขาวซึ่งกุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการปกครองประเทศ
แมนเดลาทำงานนี้ได้สำเร็จ ด้วยการทำให้เห็นว่าเขาไว้วางใจให้หลักประกันแก่คนขาวว่าจะไม่ถูก"เอาคืน"นับแต่ให้เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบรัฐบาลที่ตกค้างมาจากยุครัฐบาลคนขาวได้ทำงานต่อไปไม่ต้องออกไป ให้ตำรวจผิวขาวมาเป็นองครักษ์โดยไม่หวาดหวั่นว่าจะโดนลอบสังหารซะเอง
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือกุศโลบายที่ใช้ เขาใช้กีฬารักบี้กีฬายอดนิยมของคนขาว และโอกาสที่แอฟริกาใต้ได้จัดรักบี้ชิงแชมป์โลกปี1995 เป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ
หนังเรื่อง Invictus เปิดฉากเริ่มต้นในปี 1994 หนึ่งปีเต็มก่อนรักบี้ชิงแชมป์โลกทีมชาติแอฟริกาใต้ฉายา "Springboks" ซึ่งใช้ผู้เล่นผิวขาวแทบทั้งทีมและได้สิทธิ์เข้ารอบสุดท้ายอัตโนมัติ เพราะเป็นเจ้าภาพกลับเป็นทีมไร้ฝีมือที่ล้มเหลวในสนามแข่ง
และที่น่าเศร้าคือเวลาทีมชาติผิวขาวนี้ลงแข่งขันกับทีมชาติไหน คนผิวดำที่เป็นชนส่วนใหญ่ในประเทศจะพากันเชียร์ทีมตรงกันข้ามกับทีมชาติของตนเองด้วยความชิงชัง
ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับการคุกคามของคนผิวสีที่เพิ่งได้สิทธิ์ปกครองประเทศที่ต้องการเปลี่ยนชื่อและอัตลักษณ์ Springboksซึ่งเป็นตัวแทนของคนผิวขาวที่พวกเขาเกลียดชังให้เป็นอัตลักษณ์ใหม่ที่คนผิวสีเป็นผู้กำหนดเอง ไม่ว่าจะเป็นธงของทีมเสื้อทีม สีเสื้อของทีม
เรื่องนี้อาจเป็นแค่ประเด็นเล็กๆ ในสายตาของใคร แต่เนลสัน แมนเดลา(แสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน ) กลับเห็นเป็นโอกาสสำคัญมากเพราะเขามองว่ารักบี้เป็นกีฬาที่คนผิวขาวรักมาก และการเปลี่ยนชื่อSpringboks ถือเป็นการคุกคามคนผิวขาวในเชิงสัญลักษณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยมีกำลังจะหายไป
แมนเดลาใช้สิทธิ์ประธานาธิบดีและผู้นำพรรคการเมืองคนผิวดำยับยั้งการเปลี่ยนชื่อทีม Springboksได้สำเร็จ ในอีกด้าน เขาเข้าหาและซื้อใจ ฟรังซัวร์ ปีนาร์ (FrancoisPienaar) กัปตันรักบี้ทีมชาติ (นำแสดงโดยแมตต์ เดมอน)ให้รับรู้ถึงความสำคัญของตัวเองว่าไม่ใช่แค่นักกีฬารักบี้กีฬายอดนิยมของคนขาว แต่เป็นตัวแทนความหวังของคนแอฟริกาใต้ทั้งชาติ
ซึ่งเขาซื้อใจกัปตันทีมผิวขาวสำเร็จ
พร้อมกันนั้นเขาก็ขอให้ทีมชาติอันน่ารังเกียจลงไปสัมผัสคนดำด้วยการเปิดสอนรักบี้ให้เด็กๆผิวดำ ตามโครงการ One team,Onecountry-ทีมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน
แมนเดลาเองนั้นเคยเป็นผู้นำกองกำลังติดอาวุธของขบวนการผิวสีมาก่อนแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายในห้องขังอันคับแคบ 27 ปี สอนให้เขาเรียนรู้ว่ามีเพียงการรับฟังความต้องการของทุกฝ่าย ที่จะนำพาประเทศเดินหน้าต่อไปได้และเขาได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนขาว เพื่อเอาชนะคนขาว
ทว่าเป็นการชนะใจ ไม่ใช่ด้วยการแก้แค้น
ทีมรักบี้แอฟริกาใต้ที่เคยถูกชนผิวดำร้องยี้ ใครๆก็ว่าอยู่นอกสายตาได้เข้ารอบก็เพราะเป็นเจ้าภาพสามารถเอาชนะคู่แข่งที่แสนแข็งแกร่งอย่างนิวซีแลนด์ก้าวเป็นแชมป์รักบี้โลกในบ้านตัวเองยามที่ต้องการชัยชนะอย่างยิ่งยวดได้สำเร็จ
จอห์น คาลิน ผู้ประพันธ์ Invictus ฉบับนิยายถึงกับเรียกการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศนี้ว่าเป็น"การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอนาคตของชาติ" (Game That Changed a Nation)
ถือเป็นการยุติความขัดแย้งอันยาวนานกว่า 50 ปีของแอฟริกาใต้
ฟรังซัวร์ ปีนาร์ ให้สัมภาษณ์หลังจบการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศว่ากำลังใจของพวกเขาไม่ได้มาจากผู้ชมจำนวน 62,000 คนในสนาม Ellis ParkStadium ที่โจฮันเนสเบิร์ก แต่เป็นกำลังใจจากประชากรทั้งหมดของแอฟริกาใต้43 ล้านคนต่างหาก
ประสบการณ์ของแมนเดลาและแอฟริกาใต้ อาจสอนบทเรียนบางอย่างให้กับประเทศไทยที่กำลังอยู่ในภาวะ "โกรธแค้นชิงชังและหวาดกลัว" ได้ไม่มากก็น้อย
บางทีInvictus อาจเป็นภาพยนตร์ที่ควรหามารับชมมากที่สุดในเวลานี้
และใครที่โปรรัฐบาลเครือข่ายทักษิณ หรือกำลังเคลื่อนไหวขจัดระบอบทักษิณอยู่ในเวลานี้ ก็น่าจะลองหยิบแผ่นขึ้นมาเปิดดูเป็นกลุ่มแรก
( ในความรำลึกเนลสัน แมนเดล่า รัฐบุรุษของโลก ที่ถึงแก่อสัญกรรมในวันนี้ 6 ธันวาคม 2556 )
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น