โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร. 029275800 E-Mail : tontan2008@gmail.com Fax : 02-927-5808
ข.ส่องกล้องมองไปข้างหน้า 2559 โอกาสดีและปีกระทิง..?
ก่อนอื่นผมอยากให้หลับตาแล้วนึกตามที่ผมจะพูดให้ฟังยังงี้นะครับ
*จำได้ไหม น้าอายังจำได้ไหม?..ตอนต้นปี 2558 ที่ผมเตือนว่าตลาดหุ้นจะตกไปถึงสิ้นปีให้ใช้กลยุทธ์ BEAR MARKET STRATEGYคือเน้นขาย และอย่าซื้อ อย่าถือหุ้นไว้มากนั้น...เวลานั้นก็ชวนยากชวนเย็นนะครับ ลูกค้าและนักลงทุนชอบถามว่ามันมีข่าวร้ายอะไรไม่ดีเหรอ ก็ไม่เห็นมีอะไร?
*มาตอนนี้ตอนจะสิ้นปี 2558 ผมบอกว่า ได้เวลาซื้อแล้วครับ (TIME TO BUY) ปีหน้าหุ้นจะขึ้นครับ กระทิงจะมา...เวลานี้ลูกค้าและนักลงทุนก็ออกอาการชวนยากชวนเย็นอีกหละครับ ชอบถามว่าตอนนี้มีแต่เรื่องแย่ ๆ นะ FED ขึ้นดอกเบี้ย, ฝรั่งขาย,เงินทุนไหลออก, เศรษฐกิจขึ้น HARD LANDING, กรีซก็รอปะทุ
เศรษฐกิจไทยก็ลำบาก,หุ้นน้ำมันก็ร่วงหนัก BROKER HOUSE ยักษ์ใหญ่อย่าง GOLDMAN SACH บอกจะร่วงลงไป 20$ ไหนจะการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญ ไหนจะกำไรของ บจ.ก็แย่ลง
คุณครับ! “WE DRAW THE FUTURE” ตลาดหุ้นเป็นเรื่องอนาคตครับส่องกล้องไปข้างหน้า และ TRADE ให้สอดคล้องกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 6 หรือ 12 เดือนข้างหน้าครับ ไม่ใช่ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่กำลังจะผ่านไป
อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2559 บ้าง ?
ผมเขียนไว้ละเอียดแล้วในหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทยปี ’59: อีก 1 ปีทองของนักลงทุน พร้อมหุ้นเด่นที่สุด 6 ตัว ชนิดลงทุนแล้วหวังผล เชิญหาอ่านแล้วพกคู่มือฉบับนี้สู้กับตลาดได้สบาย เล่มเดียวเอาอยู่!
ผมจะสรุปแบบฉบับย่อให้นะครับ อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2559 บ้าง ?
1)หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ไอ้ที่ตกก็ตกกันไปแล้ว ต่อแต่นี้หุ้นก็จะขึ้นครับ
เหตุเพราะความกังวลว่าเงินทุนที่จะไหลออก หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยนั้นมันได้ PRICED-IN เข้าไปในราคาหุ้นไทย นับจากเดือนมิถุนายนมายันสิ้นเดือนธันวาคม 2558 และฝรั่งต่างชาติขายสุทธิออกมามากกว่า 1.5 แสนล้านบาทก็ OVER REACTED ไปแล้วครับ!
ดังนั้นไอ้ที่จะไหลออกอีกนั่นหนะ ถึงจะมีก็ไม่เท่าไหร่แล้วครับ แต่จะไหลกลับนั่นมากกว่า ดังสถิติที่ผมเคยยกมาให้ดูในบทความ 2-3 ครั้ง ที่ผ่านมาแล้วว่า หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ตลาดหุ้นจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (EMERGING MARKET-EM) อย่างตลาดหุ้นไทยนั้นจะขึ้นครับไล่กันเป็นวัน คือหลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยผ่านไป 60 วัน,เป็นเดือนคือ ผ่านไป 6 หรือ 12 เดือนและไล่เรียงกันเป็นปี คือ 2 ถึง 3 ปีนั้น ตลาดหุ้นขึ้นครับ
คราวนี้ก็ “น่าจะขึ้นเหมือนสถิติ ในอดีตที่ผ่านมาครับ...
2)ราคาน้ำมันและหุ้นพลังงาน,โภคภัณฑ์ น่าจะ OVER REACTED ไปแล้ว
ผมทราบดีครับว่าข่าวร้ายเพียบ ทั้งเรื่องอุปทานล้นเกิน (OVER SUPPLY) อุปสงค์หดตัว ตามภาวะเศรษฐกิจจีน และ GOLDMAN SACH ชี้ว่าจะตกไปที่ 20$ แต่อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าราคาน้ำมันได้ตกมาซับเอาข่าวร้ายที่ว่าไปมากเกินพอแล้วครับถ้าดูจาก CHART ก็จะพบด้วยว่าเกิดสิ่งที่เรียกว่า BULLISH DIVERGENCE ด้วยคือ ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงมาทำ NEW LOW แต่ตัวเครื่องมือชี้วัด RSI ไม่ลง NEW LOW ตาม แถมยังสวนทางขึ้น (สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ลักษณะอาการแบบนี้มักบ่งชี้ถึง
1) การตกลงมาทำจุดต่ำสุด (BOTTOM OUT) ของขาลงเที่ยวนั้น ๆ
2) เป็นสัญญาณการกลับตัวของราคา คือจากที่เคยเป็นขาลงก็จะกลับไปเป็นขาขึ้น อาจจะไม่ได้เห็นกันในวันสองวัน แต่ในเดือนสองเดือนจะชัดเจนขึ้นครับ
และหากดูชาร์ตรายเดือนก็จะมีจุดน่าสนใจคือ การลงมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเขต 34$ นั่นก็คือใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ 33$ เมื่อต้นปี พ.ศ.2552 ดังนั้นก็น่าจะมี “โอกาสมาก”ที่จะทำจุดต่ำสุดในรูปแบบ DOUBLE BOTTOM บริเวณ 33$ (หรือถ้าเอาตัวเลขกลม ๆ เลยก็คือ 30$)
*หรือแม้แต่จะตกไป 20$ แบบที่ GOLDMAN SACH ว่า ผมถามตรง ๆ นะครับ WHO CARE?! ก็อีกแค่ 10$ เทียบกับที่มันตกมาจากราคา 100 กว่าเหรียญนะครับ?
แต่ถ้ามัน DOUBLE BOTTOM แล้ว REBOUND ขึ้นที่เป้าหมายในปี 2559 คืออย่างน้อย 60$ นะครับ หรือ 70 ถึง 75$
นั่นหมายถึงว่าหุ้นน้ำมันและพลังงานแบบ PTT PTTEP TOP BANPU IRPC ESSO อะไรแนว ๆ นี้ หรือพวกโภคภัณฑ์และสินค้าเกษตรแบบ STA KSL IVL แนว ๆ นี้จะปรับตัวขึ้นในปี 59 ครับ
และ SET ก็ขึ้นด้วยหละเพราะหุ้นน้ำมันและพลังงานนั้นถ่วงน้ำหนักดัชนี SET เอาไว้เยอะนั่นเอง
3. HARD LANDING ในตลาดหุ้นจีน (ก็) ผ่านไปแล้ว
ปัจจัยลบที่กังวลกันในปี 2559 คือกลัวเศรษฐกิจจีน HARD LANDING แล้วช็อกโลก...แต่ผมว่ามันช็อกโลกไปเรียบร้อยในปี 2558 ครับ ในปี 2559 นี่ตลาดหุ้นจีนมี 2 ทางคือ 1.SIDEWAY UP คือแกว่งขึ้นแต่ไม่หวือหวามากเพราะเดี๋ยวโดนแบบปี 2558 หรือ 2.SIDEWAY คือซึมตัวออกด้านข้าง
แต่ดูจาก CHART ที่จะตกแรง ๆ นั้นมีน้อยมาก เพราะเจอ BOTTOM ไปแล้วครับทำฐานยกสูงขึ้นสวยงามมาก (มี HIGHER LOW) และตอนขึ้นก็ทำจุดสูงใหม่ (NEW HIGH) นี่คือรูปแบบของขาขึ้น หรือ SIDEWAY UP ครับ
ถ้าจะเขย่าตลาดหุ้นทั่วโลกบ้าง ก็จะเกิดขึ้นเพราะความหวาดผวาระแวงมากกว่าที่มันเป็นจริง
“เรื่องที่คนกลัวนั้นมักไม่ค่อยเกิดส่วนเรื่องที่เกิดนั้น เพราะคนไม่ค่อยกลัว”...เรื่องนี้ ใช้ได้กับตลาดหุ้นเสมอแหละครับ ดังนั้นไม่ใช่เรื่อง HARD LANDING ของจีนหลอกครับที่ต้องกลัว แต่เรื่องอื่น ๆ ให้ระวังกันไว้หน่อยอย่าง กรีซ หรือ บราซีล หรือ ยุโรปอะไรทำนองนั้น ที่จะช็อกโลกแทนหรือภัยจากการก่อการร้าย อะไรเทือกนั้น
4.ELECTION RALLY YEAR
ปี 2559 อเมริกาเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนครับ แต่จะได้คู่ชิงตั้งแต่กรกฎาคมแล้ว สมมุติว่าคู่ชิงคือ ฮิลลารี่ คลินตัน VS โดนัลด์ ทรัมพ์ นี่ก็สนุกหละครับ...แต่ประเด็นคือนับจากปี 1880 เป็นต้นมา ถึงเลือกตั้งหนล่าสุดเมื่อ 2012 นั้น ตลาดหุ้นอเมริกาในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะสดใสคึกคักตลอดครับ จนเรียกปีที่มีการเลือกตั้ง ปธน. นั้นว่า PRESIDENTIAL ELECTION RALLY YEAR ครับ
ปีนี้ก็”น่าจะ”เดิม ๆ ครับ และหุ้นทั่วโลกคงจะได้อานิสงส์กันไปด้วยพวกหุ้นสื่อสารมวลชน ที่อาการเพียบเพราะค่าใช้จ่าย TV DIGITAL สูบไปจนซีดเซียวก็คงพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง (BEC MCOT NMG NEC WORK NEWS อะไรทำนองนี้นะครับ หรือสิ่งพิมพ์แบบ NMG POST MATI เป็นต้น)
5.การเมือง ยังนิ่งอีกปี
จะมีการกระเพื่อมบ้างก็ตอนจะลงประชามติกันแต่ก็คงไม่หนักหนา เพราะคณะรัฐประหาร คสช.ยังคงกระชับอำนาจไว้เข้มงวด และคนในบ้านเมืองก็ยังแบ่งเป็น 2 ฝั่งเหมือนเดิม คงแค่แขวะกันไปด่ากันมาพอให้หายรำคาญกันแค่นั้นแหละครับ ความเสี่ยงชนิดจะบานปลายกลายเป็น CIVIL WAR หรืออะไรทำนองนั้น ไม่น่ามี (ถ้าจะมี มันก็คงมีกันไปนานแล้ว)
บ้านเมืองก็จะมีเสถียรภาพใต้อำนาจระบอบปกครองทหารไปอีกปี ซึ่งก็จะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นน้อยมาก
ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่น่ากล่าวถึง เช่น GOVERNMENT SPENDING พวก MEGA PROJECT ที่จะหนุนเศรษฐกิจการลงทุนในปี 59, เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว AEC และกำไรของ บจ. แต่เรื่องมันยาว ผมก็ขมวดปมจบดื้อ ๆ ตรงนี้หละนะครับ
ทั้งหมดนี้ที่จะเกิดในปี 2559 ครับ แต่ตอนหุ้นขึ้นโน่นแหละ “ข่าวดี” ที่ผมว่ามานี้ ถึงจะพาเหรดกันมาเป็นขบวน
จำได้ไหม น้าอายังจำได้ไหม? หุ้นขึ้นหรือตกไม่ใช่เ้พราะข่า่วทำให้มันขึ้นหรือตกซะหน่อยครับ
หุ้นมันขึ้นหรือตกไปแล้ว ข่าวค่อยตามมาอธิบายในตอนหลังต่างหาก...หรือว่าไม่ใช่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น