คู่มือรวยหุ้นปี2554(บทที่1-บทที่4):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม แต่ตอนนี้หุ้นไทยแพงเกินไปหรือยัง?
โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888
I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง
*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )
*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554
*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)
II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน
ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551
ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว
ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554
ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน
III.ปัจจัยสำคัญชี้เป็นชี้ตาย ชี้ทิศทางตลาดหุ้นปีเถาะ
3.1 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบชะลอตัว มีเสถียรภาพขึ้น แต่กระต่ายจะตื่นตูมเหตุการณ์จากแผ่นดินใหญ่ให้สะดุ้งเป็นระยะๆ
ok: Power nap
*DM momentum + Asia inflation = DM bias to start
At the cusp of 2011, our key changes in view are greater inflation/policy tightening concerns for Asia and a firmer US growth outlook. This implies a slow start for China and regional equities, a pause in the outperformance trend vs. DM, but an uplift for more US-facing markets. Therefore, we begin the year overweight Taiwan, Korea and Singapore, funded by India
and Australia. We expect Japan to outperform early on, and move China to marketweight given inflation pressures and policy uncertainty.
*Midyear reemergence of the Asian growth story,
driving potential valuation upside
Despite the distractions of cyclical inflation issues, the strategic case for Asian growth is intact. We expect inflation concerns to dissipate midyear, and estimate 15% mid-cycle EPS growth (consensus 13%) on conservative revenue and margin assumptions, and feel valuations are attractive.
Our analysis of cycles and portfolio flows points to 30% full-year total USD returns; our analysis of the DM exposure and flow picture to EM implies we could see another year of substantial inflows, and potentially 1-2 points of multiple expansion in Asia.
โกลด์แมน แซคส์( Goldman Sachs):วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเมินปี2554 นี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพขึ้น อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเป็นดังนี้
-โลก GDP จะขยายตัว 4.6% ชะลอตัวลงจากปี2553ที่คาดว่าจะขยายตัว4.9%
-อเมริกา จะขยายตัว2.7%เท่ากับปี2553 แต่ปี2555จะเพิ่มเป็น3.6%
-จีนจะขยายตัว10% ใกล้เคียงกับคาดการณ์10.1%ในปี53
-จีน:การเติบโตที่มีเสถียรภาพ ระยะสั้นผันผวน
โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพ ไม่ฟองสบู่แตก หลังจากใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินการคลังเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่คาดว่าจะขึ้นมาที่ระดับ4.3%ในปี2554 แต่จะคุมอยู่มือ และลดลงเหลือ3%ในปี2555
เนื่องจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน เพื่อคุมเงินเฟ้อ(คาดจะเพิ่มจากระดับ3.2%ในปี2553เป็น4.3%ในปี2554) ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความผันผวนเป็นระยะ
ความผันผวนของเศรษฐกิจจีน จากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด จะเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเนืองๆ ต่อเนื่องจากปี2553 นั่นทำให้คาดการณ์ว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มที่สดใส อยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็จะตื่นตูมจากลูกมะตูมที่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะๆ
ดีแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะนักลงทุนเจอมาบ่อยแล้วในช่วงปี2553 หากเจอเข้าบ่อยๆก็อาจชาชินกับข่าวกระต่ายตื่นตูมทำนองนี้ไปเอง เข้าทำนองว่า”ข่าวร้ายข่าวลบที่ประสบอยู่เรื่อยๆก็จะชาชินไปเอง”(พูดภาษานักกลยุทธ์ว่า ตลาดได้absorbเอาปัจจัยลบเดิมๆซะชิน)
3.2ฝรั่งจะลงทุนอะไรในปี2554?
โกลด์แมน แซคส์บอกว่า
*อยากทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากภาคการเงินทำท่าฟื้นไข้ โดยหวังผลตอบแทน25%
*หรือหุ้นตัวจี๊ดในอเมริกา(คล้ายๆพวกดิริวิทีฟ วอร์แรนต์ของไทย)หวังผลตอบแทนซัก9%
*รวมทั้งหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพราะของยังถูก หวังผลตอบแทนราว20%
*ลงทุนในพวกตลาดค้าน้ำมันล่วงหน้า หวังผลตอบแทน28% โดบคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลก(WTI)จะขึ้นไปราวๆ105$/บาร์เรล (นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกPTTEP TOP เป็นหุ้นเด่นในบัญชีของเขาในปี2554)
*ส่วนหุ้นไทยให้เด่นๆคือPTTEP TOP
*NOTE:ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ คำตอบคือฝรั่ง หรือนักลงทุนต่างชาติชี้นำตลาดครับ หากเขามุ่งไปทางไหน อันนั้นขึ้น ดังนั้นหากประยุกต์ให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยปีหน้า ก็หมายความว่าเราควรให้ความสนใจหุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB หรือพลังงานอย่างPTT PTTEP TOP ครับ
Emerging market outperformance
*บริษัทหลักทรัพย์แบริงส์ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ บอกว่าในปี2554 ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะขึ้นดีให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆทั่วโลก(ดูรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง)
Investment Outlook for 2011
Heading into 2011, the economic and investment outlook remains uncertain. With the United States announcing a second round of quantitative easing and the international community bailing out Ireland, much debate continues to focus on policy issues and government intervention.
Despite the fractious tone of markets, it is worth noting that the actual underlying data is quite good. Indeed, growth is largely on track, the industrial sector is showing booming profits, corporate debt markets are open and the consumer is still shopping. In this context, we are confident that 2011 will present a number of relatively attractive investment opportunities.
So where do we see these opportunities? Well, equities still look very attractive versus government bonds. Equity risk premia are at levels where even a modest rise in bond yields would show that equity markets still offer good value. And the Federal Reserve is printing money, the Bank of Japan is printing money, the Bank of England will print if necessary and perhaps even the European Central Bank will print eventually. Such policy seems to be designed to beat the prudence out of investors, dragging them kicking and screaming into higher risk assets.
At the country level, we currently favour selected stocks in the UK, even though earnings expectations remain somewhat subdued. Clearly, the principal threat here comes from a rise in UK government bond yields although the anticipation of continued ultra-loose monetary policy should serve to hold yields at an artificially low level for the foreseeable future. From a valuation perspective, we also favour Western firms with a strong presence and significant exposure to developing countries. There are a number of opportunities in this area where emerging markets make up a significant proportion of company sales and most of the growth.
We remain positive on the wider investment case for emerging markets. The International Monetary Fund expects emerging economies to have grown by 7.1% over the course of 2010, compared to just 2.7% in the developed world. We believe that urbanisation and industrialisation will continue to drive growth and we favour companies with exposure to the rapid rise in domestic consumption across a number of emerging territories. We are mindful of inflationary pressures in China although the long-term fundamentals remain positive, underpinned by robust performance in the manufacturing and retail sectors. All in all, we believe that the superior growth prospects of emerging markets will continue to reward investors, especially as growth in the West remains subdued.
*NOTE:ตลาดหุ้นไทยก็เป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือEmerging market ก็ยังจะได้อานิสงส์จากทิศทางการลงทุนของต่างชาติ
3.3 การเมืองเรื่องของเหรียญ 2 ด้าน เป็นทั้งปัจจัยเสี่ยง และลุ้นElection Rally หรือหุ้นกระทิงวิ่งรับยุบสภาเลือกตั้งใหญ่
3.3.1 ปัจจัยเสี่ยง: โกลด์แมน แซคส์/Thailand: Political risk could restrain market upside
Market outlook Key themes and sector views
• Thailand’s earnings momentum has been strong—
28% EPS growth qoq in 3Q10 and its 9M EPS has
tracked 83% of the full-year FY10 consensus
estimate. We expect solid high-teen EPS growth for
this year and healthy mid-teen growth for next.-เศรษฐกิจและการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังขยายตัวดีในปี2554
• Valuations look low in absolute terms, but are near
the high end of its own historical range. The unstable
political environment and the associated risks to
economic and corporate earnings growth are still
high and could cap further multiple expansion.-แต่ราคาหุ้นก็จวนจะแพงแล้ว ขณะที่ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกปี
• Over 75% of market cap is concentrated in financials
and energy and their valuations appear unattractive
in a regional context. The thin liquidity for the
remaining one quarter of market cap may lead to
high transaction costs for investors.-หุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานถ่วงน้ำหนักตลาดอยู่กว่า 75% และว่าไปแล้วราคาในตอนนี้ก็ไม่ดึงดูดใจนัก หากเทียบกับราคาหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน
• Regional investors, and to a lesser extent, global EM
funds, are heavily overweight Thailand equities.
Potential fund rotation from South Asia to the North
amid weak liquidity in Thailand could create excess
price volatility, in our view.-มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากเอเชียใต้มาเอเชียเหนือ และเพิ่มน้ำหนักให้ตลาดหุ้นไทยมาก ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้ราคาหุ้นผันผวนมากไปด้วย
• Political risk: Parliamentary elections will be held in
2011 (timing is not confirmed yet) and the process and
results could provoke unexpected market volatility.-การจัดเลือกตั้งใหม่ในปี2554ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่แน่ และผลการเลือกตั้งก็ยังยากจะคาดเดาได้ ทำให้ตลาดผันผวนในปี2554
3.3.2ELECTION RALLY 1,200 จุดในปี2554/CLSA –เครดิตลียองเนส์ โบรกเกอร์เชื้อชาติฝรั่งเศส ซึ่งวิจัยตลาดหุ้นไทยได้อย่างแม่นยำที่สุดในรอบ 15 ปีมานี้(เคยฟันธงว่าฟองสบู่เศรษฐกิจไทยจะแตกก่อนฟองสบู่แตกปี2540ล่วงหน้า 1 ปี,เคยแนะนำให้กลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยในปี2546 ก่อนหุ้นจะวิ่งแรงถึง 120%ในปีนั้น)ได้ออกบทวิจัยชิ้นหนึ่ง
โดยCLSA ชี้ว่า ผลจากการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ในปี 2535 สมัยชวน 1 กับปี2544 สมัยทักษิณ 1นั้น เกิดบรรยากาศที่เรียกว่าELECTION RALLY หรือหุ้นวิ่งขึ้นก่อน และหลังการเลือกตั้งใหญ่ทั่ง 2 หนนั้นชนิดขึ้นแบบเท่าตัว
แต่ในการเลือกตั้งใหญ่ปี2554นี้หวังแบบไม่มากนัก ก็น่าจะขึ้นจากปัจจุบันไปราวๆ20% หรือเป้าหมายซัก 1,200 จุดได้
แต่ก็มีเงื่อนไขว่า ขอให้พรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยชนะได้เลือกตั้งใหม่ ก็จำให้ตลาดขึ้นได้ต่อเนื่องซัก 2 ปีเหมือนสถิติ ชวน 1 กับทักษิณ 1 ซึ่งก็มีสัญญาณที่ดีอยู่ เช่น
-นายกฯอภิสิทธิ์แสดงท่าทีประนีประนอมปล่อยตัวแกนนำ และนักโทษการเมืองเสื้อแดง
-การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ในเรื่องกติกาเลือกตั้งจะเป็นคุณให้พรรคร่วมรัฐบาลได้เปรียบในการเลือกตั้ง
-การวางกลไกทางอำนาจของระบอบปกครองปัจจุบัน ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชส่วนต่างๆกระชับอำนาจไว้หมดแล้ว
-งบประมาณเพื่อการใช้จ่ายในการเลือกตั้งสะพัดเพิ่ม22%
-การออกนโยบายประชาวิวัฒน์ หรือประชานิยมในฉลากยี่ห้อใหม่ เพื่อซื้อใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยากจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย
-การเลือกตั้งซ่อมหนล่าสุดเมื่อ 12 ธันวาคม 2553 ชี้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทยชักจะเล่นเป็นว่า ต้องทำยังไงจึงจะชนะเลือกตั้งได้
การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส1/2554 และจากนั้นมีการเลือกตั้งก็น่าอยู่ในไตรมาส1หรือไตรมาส2/2554
ภายหลังแก้ไขกติกาเรื่องเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จสรรพ ซึ่งไม่น่าเป็นปัญหา เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดูล้าลงมากในระยะหลัง สังเกตจากจำนวนผู้ชุมนุมน้อย สะท้อนว่าคนไทยอยากให้ชี้ขาดการเลือกตั้ง ขณะที่เสื้อแดงก็ต้องการเช่นนั้น เพราะคุณทักษิณมักจะอ้างว่า รัฐบาลนี้มีมือที่3แทรกแซงบงการอยู่
*NOTE- สุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูงและปัญหาการสืบทอดอำนาจ
ปัญหาสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง เป็นจุดที่ต้องเฝ้าจับตามองว่า อะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้
ประเด็นหลักต่อความขัดแย้งของการเมืองในประเทศไทย คือบทบาทของสถาบันเบื้องสูง และชนชั้นนำซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามค่านิยมตะวันตก ว่าสมควรที่จะเป็นอย่างไรต่อการปกครองประเทศ “เสื้อแดง” หลายคนได้โทษผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องสูง – โดยเฉพาะองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ – ว่าเป็นตัวการโค่นทักษิณ และอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารปี 2549
ในหลวงภูมิพลทรงได้รับความเคารพจากทุกฝ่ายในการเมืองไทยที่แม้จะขัดแย้งกัน ดังนั้นพระราชอำนาจทางการเมืองของพระองค์จึงเป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับได้ แม้จะถูกพวกที่เรียกกันว่า”ขบวนการล้มเจ้า”ท้าทายมากขึ้น แต่พระราชอาณาบารมีก็ยังสูงอยู่
แต่กับองค์รัชทายาทนั้นไม่ทรงได้รับความนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ดังที่มีรายงานจากวิกิลีกส์ว่า ชนชั้นนำอย่างพล.อ.เปรม,คุณอานันท์,พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พูดเรื่องนี้กับทูตสหรัฐฯ
นอกจากนั้นนักวิเคราะห์การเมืองต่างกลัวกันว่า ถ้าพระรัชทายาทเสด็จขี้นครองราชย์ในเวลาที่การเมืองไทยยังคงแตกแยกเช่นนี้ จะส่งผลให้เกิดการแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายฝ่าย ยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ผลที่ตามมาจะเป็นความหายนะอย่างใหญ่หลวงได้
ประเด็นหลักที่ต้องจับตามอง:
- ยังต้องติดตามและเฝ้าระวังในเรื่องสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง รวมทั้งเรื่องการสืบทอดอำนาจ จะเป็นผลกระทบด้านลบอย่างหนักต่อตลาดหุ้น และต่อค่าเงินบาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตของไทย
- บารมีของพล.อ.เปรมจะแผ่ถึงขนาดไหนยังคงเป็นจุดสำคัญในการชุมนุมประท้วง การใช้กฎหมายหมิ่นฯที่เข้มงวดในประเทศไทย เป็นเครื่องมือห้ามมิให้มีการถกเถียงใดๆเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ และบทบาทของกษัตริย์ ด้วยเหตุผลเช่นนี้จึงทำให้ “เสื้อแดง” เน้นการโจมตีไปที่เปรม ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี ถ้าเปรมยังคงเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการประท้วง ถือเป็นลางบอกเหตุได้ว่า การสืบทอดอำนาจย่อมจะไม่ราบรื่น และไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างที่หลายๆคนได้คาดหวังเอาไว้ แต่หากเป้าหมายการโจมตีเลยจากพล.อ.เปรมขึ้นไปอีก ก็สะท้อนถึงความยุ่งยากของอนาคตการเมืองไทยในระยะต่อไป
IV.หุ้นไทยถูกหรือแพง นั่นก็ขึ้นกับว่าอยู่บนสมมิติฐานไหน และของใคร
4.1หุ้นไทยยังห่างไกลกับคำว่าฟองสบู่
ท่านอาจเคยได้ยินว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ ความจริงแล้วการวัดว่าแพงหรือถูกนั้น เขาดูกันที่ราคาต่อกำไร(P/E) สถิติหุ้นไทยเป็นดังนี้
-P/Eเคยแพงมากคือ31.5เท่าในปี 2537 ก่อนจะตามมาด้วยการฟองสบู่แตกในอีก2-3ปีต่อมา เคยขึ้นไป28เท่าเมื่อปี2552 เมื่อตอนต้นปี2553เคยอยู่ที่26เท่า
-สถิติที่เคยซื้อขายต่ำสุดคือค่าP/E3.37เท่าตัวในปี2544 ตอนฟองสบู่อเมริกาแตกในปี2551เคยลงมาแถวๆ5.8เท่าตัว
-ตอนนี้ค่าP/Eหุ้นไทยลดลงจาก26เท่าตัวเมื่อตอนต้นปี ลงมาเหลือราวๆ15เท่า เนื่องจากผลกำไรของบจ.ดีขึ้น ณ ค่าP/Eปัจจุบันจึงไม่ถือว่าแพง แต่ก็ไม่ถูก เรียกว่าอยู่ในระดับกลางๆครับ
4.2มุมมองของCLSAว่ายังถูกกว่าตลาดอื่นในเอเชีย
CLSA ปรับปรุงค่าP/Eของตลาดหุ้นไทย เมื่อประมาณการณ์กำไรของบจ.ในสิ้นปี 2553 อยู่ที่13.5เท่า(ส่วน15เท่าที่โชว์ตอนนี้คือคิดจากกำไรบจ.งวด9เดือนแรก/2553) และปี2554คาดว่าค่าP/Eลดลงมาที่11.5เท่า
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในย่านเอเชียด้วยกันที่อยู่ราว15.3เท่าในปี2553 และ13.4เท่าในปี2554จึงนับว่าหุ้นไทยถูกกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค
ส่วนGDPนั้นGoldman sachs ประเมินว่าปี2553 ไทยจะขยายตัว7.9% เทียบกับเอเชียที่ขยายตัว 7.6% ส่วนปี2554จะขยายตัวชะลอลงระดับ4.2% ส่วนเอเชีย5.3%
GDPของโลกในปี2554 จะโต2.5% มีอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ย2.4% หรือคาดหวังผลตอบแทนที่แท้จริง4.9%
ส่วนGDPของไทยนั้นดูดีกว่าภาพรวมของโลก แต่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังแข็งอยู่ คาดหมายว่าเฉลี่ยจะอยู่ราว29.50บาท/ดอลลาร์(ซึ่งก็แข็งขึ้นมาแล้วหละครับ ณ ระดับที่คาดการณ์นี้)
4.3มุมมองของต่างชาติที่เห็นว่าเริ่มแพง แต่ก็ประเมินว่าหากไปซัก1,147ควรขายทำกำไร
*ผู้จัดการกองทุนในสิงคโปร์- So is Thailand equity a sell or a buy? หุ้นไทยเอาไงดี ซื้อหรือขาย คำตอบคือหากวิ่งขึ้นไปราวๆ1,147จุดในปี2554น่าขาย ยกเว้นแต่เงินทุนนอกยังไหลเข้าต่อเนื่อง
Keynotes
• Thailand trades at 14.0X 2010 estimated earnings and 12.2X 2011 estimated earnings
Historically Thailand equity market trades at a cheaper level compared to developed nations and we believe the market warrants a fair PE of 12.5X. This means that the market appears to be fully valued based on next year’s earnings and is trading on the expensive side based on current year earnings. Our target level based on 2011 estimated earnings is 1147 points (with a fair PE of 12.5X), providing investors with a still attractive potential upside of approximately 15% over 2 years. –จากสถิติหุ้นไทยซื้อขายเฉลี่ยราว12.5เท่า ซึ่งประเมินไว้ว่าหากขึ้นมาระดับนี้ จะเท่ากับดัชนีหุ้นไทย1,147จุด
However, we re-iterate that the key driver of the market (foreign fund inflows) is at the same time the key risk to the market (foreign fund outflows). We do not recommend investors to continue chasing the rally (for they are probably the ones that are driving the price higher hoping for new entrants to bring them further profits). Should foreign investors’ sentiment change and the foreign investors start exiting the market, the rally can quickly reverse and result in a rapid fall.-แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเม็ดเงินต่างชาติด้วย หากไหลเข้าต่อก็ดันหุ้นขึ้น หากไหลออกก็จะตก
We prefer to stay on the cautious side and we have downgraded Thailand from an “Attractive” rating of 3.5 stars to an “Attractive” rating of 3.0 stars. We believe it is justified to call for an “Underweight” in Thailand (Thailand is now our lowest-rated single country market) and for investors who are currently invested may choose to hold their positions or take partial profit. Alternatively, they may wish to switch their holdings to other relatively more attractive markets such as South Korea (4.5 stars) and equity markets of the Greater China region (4.5 stars - China, Hong Kong; 4 stars – Taiwan).-ก็เลยลดเกรดหุ้นไทยลงเหลือ 3 ดาว จากเดิม3ดาวครึ่ง หรือลดน้ำหนักการลงทุนลงมา
(ตอนต่อไป เปิดโผ4หุ้นเด่น,หุ้นปันผลงาม,หุ้นม้ามืดปี54 โทรสมัครสมาชิกรับคำปรึกษาการลงทุนเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800 โทรมือถือ087-7174939/087-7174979/087-7178979 หรือเข้าอบรมมือใหม่เล่นหุ้นให้รวยปี54:รหัสลับ9111รวยหุ้นปีกระต่าย รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54)ด่วนก่อนเต็ม
******
เกี่ยวกับผู้เขียน
-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)
*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800
*********
อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554
-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว
-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ