วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รหัสลับ9111 อบรมเล่นหุ้นให้รวยปีกระต่ายตื่นตูม รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54คัมภีร์หุ้นไทย



คู่มือรวยหุ้นปี2554(ตอนที่1และตอนที่2 หรือบทที่1-บทที่3):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888


I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง


*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )

*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554

*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)

II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน

ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว


ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

III.ปัจจัยสำคัญชี้เป็นชี้ตาย ชี้ทิศทางตลาดหุ้นปีเถาะ

3.1 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบชะลอตัว มีเสถียรภาพขึ้น แต่กระต่ายจะตื่นตูมเหตุการณ์จากแผ่นดินใหญ่ให้สะดุ้งเป็นระยะๆ
ok: Power nap
*DM momentum + Asia inflation = DM bias to start

At the cusp of 2011, our key changes in view are greater inflation/policy tightening concerns for Asia and a firmer US growth outlook. This implies a slow start for China and regional equities, a pause in the outperformance trend vs. DM, but an uplift for more US-facing markets. Therefore, we begin the year overweight Taiwan, Korea and Singapore, funded by India
and Australia. We expect Japan to outperform early on, and move China to marketweight given inflation pressures and policy uncertainty.
*Midyear reemergence of the Asian growth story,
driving potential valuation upside

Despite the distractions of cyclical inflation issues, the strategic case for Asian growth is intact. We expect inflation concerns to dissipate midyear, and estimate 15% mid-cycle EPS growth (consensus 13%) on conservative revenue and margin assumptions, and feel valuations are attractive.

Our analysis of cycles and portfolio flows points to 30% full-year total USD returns; our analysis of the DM exposure and flow picture to EM implies we could see another year of substantial inflows, and potentially 1-2 points of multiple expansion in Asia.

โกลด์แมน แซคส์( Goldman Sachs):วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเมินปี2554 นี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพขึ้น อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเป็นดังนี้
-โลก GDP จะขยายตัว 4.6% ชะลอตัวลงจากปี2553ที่คาดว่าจะขยายตัว4.9%
-อเมริกา จะขยายตัว2.7%เท่ากับปี2553 แต่ปี2555จะเพิ่มเป็น3.6%
-จีนจะขยายตัว10% ใกล้เคียงกับคาดการณ์10.1%ในปี53
-จีน:การเติบโตที่มีเสถียรภาพ ระยะสั้นผันผวน

โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพ ไม่ฟองสบู่แตก หลังจากใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินการคลังเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่คาดว่าจะขึ้นมาที่ระดับ4.3%ในปี2554 แต่จะคุมอยู่มือ และลดลงเหลือ3%ในปี2555

เนื่องจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน เพื่อคุมเงินเฟ้อ(คาดจะเพิ่มจากระดับ3.2%ในปี2553เป็น4.3%ในปี2554) ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความผันผวนเป็นระยะ

ความผันผวนของเศรษฐกิจจีน จากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด จะเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเนืองๆ ต่อเนื่องจากปี2553 นั่นทำให้คาดการณ์ว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มที่สดใส อยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็จะตื่นตูมจากลูกมะตูมที่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะๆ
ดีแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะนักลงทุนเจอมาบ่อยแล้วในช่วงปี2553 หากเจอเข้าบ่อยๆก็อาจชาชินกับข่าวกระต่ายตื่นตูมทำนองนี้ไปเอง เข้าทำนองว่า”ข่าวร้ายข่าวลบที่ประสบอยู่เรื่อยๆก็จะชาชินไปเอง”(พูดภาษานักกลยุทธ์ว่า ตลาดได้absorbเอาปัจจัยลบเดิมๆซะชิน)
3.2ฝรั่งจะลงทุนอะไรในปี2554?

โกลด์แมน แซคส์บอกว่า
*อยากทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากภาคการเงินทำท่าฟื้นไข้ โดยหวังผลตอบแทน25%
*หรือหุ้นตัวจี๊ดในอเมริกา(คล้ายๆพวกดิริวิทีฟ วอร์แรนต์ของไทย)หวังผลตอบแทนซัก9%
*รวมทั้งหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพราะของยังถูก หวังผลตอบแทนราว20%
*ลงทุนในพวกตลาดค้าน้ำมันล่วงหน้า หวังผลตอบแทน28% โดบคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลก(WTI)จะขึ้นไปราวๆ105$/บาร์เรล (นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกPTTEP TOP เป็นหุ้นเด่นในบัญชีของเขาในปี2554)
*ส่วนหุ้นไทยให้เด่นๆคือPTTEP TOP

*NOTE:ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ คำตอบคือฝรั่ง หรือนักลงทุนต่างชาติชี้นำตลาดครับ หากเขามุ่งไปทางไหน อันนั้นขึ้น ดังนั้นหากประยุกต์ให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยปีหน้า ก็หมายความว่าเราควรให้ความสนใจหุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB หรือพลังงานอย่างPTT PTTEP TOP ครับ
Emerging market outperformance
*บริษัทหลักทรัพย์แบริงส์ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ บอกว่าในปี2554 ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะขึ้นดีให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆทั่วโลก(ดูรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง)
Investment Outlook for 2011

Heading into 2011, the economic and investment outlook remains uncertain. With the United States announcing a second round of quantitative easing and the international community bailing out Ireland, much debate continues to focus on policy issues and government intervention.

Despite the fractious tone of markets, it is worth noting that the actual underlying data is quite good. Indeed, growth is largely on track, the industrial sector is showing booming profits, corporate debt markets are open and the consumer is still shopping. In this context, we are confident that 2011 will present a number of relatively attractive investment opportunities.

So where do we see these opportunities? Well, equities still look very attractive versus government bonds. Equity risk premia are at levels where even a modest rise in bond yields would show that equity markets still offer good value. And the Federal Reserve is printing money, the Bank of Japan is printing money, the Bank of England will print if necessary and perhaps even the European Central Bank will print eventually. Such policy seems to be designed to beat the prudence out of investors, dragging them kicking and screaming into higher risk assets.

At the country level, we currently favour selected stocks in the UK, even though earnings expectations remain somewhat subdued. Clearly, the principal threat here comes from a rise in UK government bond yields although the anticipation of continued ultra-loose monetary policy should serve to hold yields at an artificially low level for the foreseeable future. From a valuation perspective, we also favour Western firms with a strong presence and significant exposure to developing countries. There are a number of opportunities in this area where emerging markets make up a significant proportion of company sales and most of the growth.

We remain positive on the wider investment case for emerging markets. The International Monetary Fund expects emerging economies to have grown by 7.1% over the course of 2010, compared to just 2.7% in the developed world. We believe that urbanisation and industrialisation will continue to drive growth and we favour companies with exposure to the rapid rise in domestic consumption across a number of emerging territories. We are mindful of inflationary pressures in China although the long-term fundamentals remain positive, underpinned by robust performance in the manufacturing and retail sectors. All in all, we believe that the superior growth prospects of emerging markets will continue to reward investors, especially as growth in the West remains subdued.

*NOTE:ตลาดหุ้นไทยก็เป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือEmerging market ก็ยังจะได้อานิสงส์จากทิศทางการลงทุนของต่างชาติ


(รออ่านตอนต่อไป หรือโทรสมัครสมาชิกเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800 หรือเข้าอบรมมือใหม่เล่นหุ้นให้รวยปี54:รหัสลับ9111รวยหุ้นปีกระต่าย รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54)

1 ความคิดเห็น:

  1. เปิดอบรมการลงทุนหุ้นในตลาด Spot "ลงทุนอย่างไรให้เสี่ยง(น้อย)"
    วันเสาร์ที่ 29-30 มีนาคม 2555
    อบรมฟรี!!! ตลอดหลักสูตร
    ทางผู้จัดมีวัตถุประสงค์เพื่อให้วิทยาธานแก่ผู้ที่สนใจลงทุน
    เนื่องจากการลงทุนทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้สนใจลงทุนควรมีความรู้ประกอบการตัดสินใจ
    สนในสอบถามรายละเอียด: 082-052-8249

    ตอบลบ