วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เศรษฐศาสตร์ฉบับบ้านๆ:ค่าเงินบาทกับตลาดหุ้นร้อนๆ(ตอน แมงเม่าเอย...จะบอกให้)


ตอนนี้ก็จับตาค่าเงินบาทกันเป็นหลักหละครับ หากมันยังแข็งอยู่ ก็แปลว่าเงินยังไหลมาปั่นราคาหุ้นให้ขึ้นกันต่อไป แต่หากค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อไร เห็นฝรั่งต่างชาติเทขายหลายวันติดๆกัน พร้อมกับค่าเงินดอลลาร์แข็งโป๊กขึ้น ก็แสดงว่าเงินร้อนมันทำท่าจะเผ่นไปแล้ว เผ่นไม่เผ่นเปล่า มันไปฟันกำไรสองเด้งจากตลาดเงิน ปล่อยแมงเม่าติดดอยซะด้วย


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
(สมัครสมาชิกเพื่อดูชาร์ต และข้อมูลกระทิงทองส่องหุ้นเด่นรายตัว หรือรับข้อมูลหุ้นเด่นฉับไวทันการตัดสินใจทางSMS)

เหรียญมี2ด้านท่านว่านะครับ

เรื่องค่าเงินบาทที่พูดจาเป็นปัญหาใหญ่ในเวลานี้ เพราะกระทบกับการค้าการส่งออก การเศรษฐกิจ และผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าการเกษตรของพี่น้องเกษตรกร ได้รับผลลบ

ถามว่ามีคนได้ประโยชน์ไหม ก็มีเหมือนกัน

ที่เห็นกันตรงๆก็คือบรรดาห้างร้านอุตสาหกรรมต่างๆที่จัดซื้อเครื่องจักรเครื่องกลเข้ามา ก็ได้จ่ายในราคาที่ถูกลง

หรือเรื่องราคาน้ำมันนี่ก็เหมือนกัน เรานำเข้าน้ำมันมาเยอะมากก็ได้ในราคาที่ถูกลงเช่นกัน แต่ดูเหมือนผลประโยชน์ยังไม่ตกถึงมือคนใช้น้ำมันเติมรถซักเท่าไหร่ เพราะว่าบริษัทปั๊มน้ำมันอ้างว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็สูงขึ้นไปด้วย

อีกวงการที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆก็คงเป็นวงการตลาดหุ้นแหละครับ เพราะเมื่อค่าเงินบาทแข็งโป๊กอย่างนี้ แสดงว่ามีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเล่นหุ้น รวมทั้งมาฝากดอกเบี้ย และซื้อพวกพันธบัตร หุ้นกู้ในบ้านเรา

เหตุที่เงินนอกประเทศไหลเข้ามาลงทุนในบ้านเรา ก็มีความเป็นไปเป็นมาง่ายๆคือ เศรษฐกิจอเมริกา ยุโรปแย่ ทำให้เขาต้องลงอัตราดอกเบี้ยไปเรี่ยพื้น อย่างอเมริกาก็ใกล้0%เต็มแก่ ตอนนี้0.25% หากเศรษฐกิจยังแย่ไปเรื่อยๆ ก็อาจหั่นลงไปอีก

คล้ายๆกับญี่ปุ่นใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมานานหลายสิบปี

เมื่อเงินฝากแบงก์ทางนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ผลตอบแทนน้อยมาก เจ้าของเงินทั้งกองทุนยักษ์ใหญ่ กองทุนเก็งกำไรที่เรียกว่าhedge
fund(หากนึกไม่ออกก็แบบเดียวกับกองทุนนายจอร์จ โซรอสนั่นแหละ)และเศรษฐีมีสตังค์ก็ขนเงินออกไปลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจดี

ทางแถบทวีปเอเชียเราเศรษฐกิจดีครับ เหตุเพราะเมืองจีนเปิดประเทศหลายสิบปีก่อน เลิกระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ เปิดรับเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีการตลาด ประเทศอินเดียที่อยู่ใกล้กันก็แข่งกันทำมาหากิน

คนจีนกับคนอินเดียถูกโรคกับระบบทุนนิยม เพราะขยันประหยัดมัธยัสถ์อดออม ชอบค้าขายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยเซ็งลี้ฮ้อกันใหญ่ ประกอบกับคนในจีนก็ปาเข้าไป1,300ล้านคน เมืองอินเดีย900ล้านคน แค่2ประเทศรวมกันก็ปาเข้าไปเกิน2,000ล้านคนแล้ว

แค่ผลิตของออกมาตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบขายกันในประเทศก็ทำไม่พอขายแล้ว เอาตัวอย่างง่ายๆว่าผลิตไม้จิ้มฟันขายคน2,000กว่าล้านคนนี่ก็ไม่ต้องไปพึ่งการส่งออกไปทางอเมริกา ยุโรปเลย ทำให้2ประเทศนี้พึ่งพาเงินจากการส่งออกไปต่างประเทศแค่เพียง20% ที่เหลือทำเองขายเองใช้เอง เฮงลูกเดียว

เมื่อเป็นดังนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรปจะเจ๊ง เจอแฮมเบอร์เกอร์ไครซีส ก็เลยแทบไม่มีผลกระทบอะไรนักต่อ2ประเทศนี้

หากดูแผนที่ลกก็จะเห็นว่า ซีกตะวันตกอย่างอเมริกา ยุโรปแย่ แต่ซีกโลกตะวันออกกลับดีใจหาย เมื่อเป็นดังนี้ก็เลยทำให้ฝรั่งขนเงินออกจากอเมริกา ยุโรปมาลงทุน หรือมาฝากเงิน มาซื้อพันธบัตร มาซื้อหุ้นกู้และมาเล่นหุ้นใน2ประเทศนี้

ทำให้เศรษฐกิจ2ประเทศนี้โป่งขึ้นมาวูบวาบในช่วง2-3ปีให้หลังมานี้ ทีนี้รัฐบาล2ประเทศนี้ก็เกิดกลัวว่าฟองสบู่จะแตกโพละเข้าให้
เลยใช้นโยบายการเงินด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และห้ามกู้เงินไปเล่นหุ้นหรือเอาไปปั่นที่

พวกกองทุนเก็งกำไร หรือhedgde fundก็เลยพากันขายทำกำไรใน 2 ประเทศนั้น แต่ไม่เอาเงินกลับบ้าน ก็เล็งหาว่าจะหิ้วเงินกับกำไรไปเล่นที่ไหนต่อ

เล็งไปเล็งมาหันมาเจอ 3 ประเทศในย่านอาเซียนที่เขาเรียกว่าTIP อันเป็นชื่อย่อของThailand/Indonesia/Philipinesเข้าพอดี

อาศัยว่าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เริ่มฟื้นตัวตามเมืองจีนเมืองอินเดีย ขณะที่ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม2ประเทศนี้

เงินทุนเหล่านี้ก็ไหลเข้ามาฝากดอกเบี้ยกินส่วนต่าง หรือบางส่วนก็ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และบางส่วนก็ทะลักเข้ามาในตลาดหุ้น ทำเอาตลาดหุ้นTIPทะยานวิ่งกันตับแล้บ และขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย นับจากจุดต่ำสุดเมื่อปี2551
ขึ้นกันมาบางตลาด 200%แล้ว อย่างเมืองไทยขึ้นมาซัก150%เห็นจะได้

ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาป้วนเปี้ยนแถว1000จุด ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี2539 หรือในรอบ 15 ปี ยังเคราะห์ดีว่าหากพิจารณาราคาต่อกำไร(price per arning-P/E)ยังอยู่แถวระดับ15เท่าตัว หากเทียบตอนฟองสบู่แตกรอบก่อนเคยพุ่งไป31เท่าตัว ก็ยังเรียกว่าไม่แพง

แต่กหากเทียบกับตอนปี51ที่หุ้นไทยเรามีP/Eอยู่5เท่าตัว ก็ไม่นับว่าถูกแล้ว

ฟังมาล่าสุดว่าทางด้านบริษัทMorgan Stanleyเจ้าของดัชนีMSCI ซึ่งเป็นดัชนีที่วงการเล่นหุ้นทั่วโลกนิยมเอามาเป็นข้อมูลประกอบการเล่นหุ้นนั้น เขาได้ออกรายงานว่าน่าจะลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ลงจากเดิมให้น้ำหนัก6% เหลือ3%
เพราะตอนนี้ราคาหุ้นในประเทศเกิดใหม่แพงไปหน่อย

ตลาดประเทศเกิดใหม่ หรือฝรั่งเรียกว่าEmerging Marketนี้ความหมายก็คือตลาดหุ้นที่เปิดกันมาไม่นาน

อย่างตลาดหุ้นเมืองไทยเปิดมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 อายุอานามตอนนี้ก็35ปีเต็ม คนอาจคิดว่าเก๋าพอตัว แต่ฝรั่งยังเรียกว่าตลาดเกิดใหม่ เพราะเขานำไปเทียบกับตลาดหุ้นเกิดนานเป็น100-200ปีอย่างตลาดอเมริกา ยุโรป
หรือญี่ปุ่น

หากฝรั่งเชื่อMSCIแล้วขายหุ้นบ้านเราซะ หรือขายหุ้นทั่วโลกก็คิดว่า อาจนำกำไรที่ขายหุ้นได้ไปช้อนซื้อเงินดอลลาร์ที่ลงมาถูกๆเวลานี้
แล้วอาจปั่นเงินดอลลาร์ขึ้นไปแพงๆ เวลาเดียวกันตลาดหุ้นก็อาจร่วงลงมาหนักๆก็เป็นไปได้

เรื่องทำนองนี้ตลาดหุ้นเมืองไทยเราเจอกันมาบ่อยๆครับในรอบ 35 ปีมานี้ จนแมงเม่าตายเกลื่อนตลาดมานักต่อนัก แต่คนก็ไม่เคยเข็ดหลาบกัน หมดแมงเม่ารุ่นนี้เดี๋ยวก็มีรุ่นหน้าเกิดมารองรับอยู่เรื่อยๆ

คนที่กำไรทุกรอบก็คือพวกhedgde fundที่ฟันกำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะเงินเหล่านี้เรียกว่า"เงินร้อน" หรือhot money
มาไวปั่นแรงขายเร็วไปเร็ว เวลาไปมันก็ไม่สั่งไม่ลา

คนไทยแมงเม่าเห็นฝรั่งขายมาก็ไปช้อนกันสนุกสนาน กว่าจะรู้ว่าติดยอดดอยก็สายซะแล้ว เพราะขาดทุรนกันอ่วมอรทัย บางรายก็หมดเนื้อสิ้นตัว

เพราะฉะนั้นแล้วเขาว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผมขอแถมให้ด้วยว่า การลงทุนย่อมมีความเสียว เวลาhot moneyไหลมาอย่างนี้

ผู้ลงทุนคนเล่นหุ้นจึงอย่าคิดแต่ได้ถ่ายเดียว ดูด้วยว่ามีเหตุเภทภัยอะไรรออยู่ไหม

ตอนนี้ก็จับตาค่าเงินบาทกันเป็นหลักหละครับ หากมันยังแข็งอยู่ ก็แปลว่าเงินยังไหลมาปั่นราคาหุ้นให้ขึ้นกันต่อไป แต่หากค่าเงินอ่อนลงเมื่อไร เห็นฝรั่งต่างชาติเทขายหลายวันติดๆกัน พร้อมกับค่าเงินดอลลาร์แข็งโป๊กขึ้น ก็แสดงว่าเงินร้อนมันทำท่าจะเผ่นไปแล้ว

เตือนกันไว้ซะแต่วันนี้ เพราะผมขี้เกียจมาซับน้ำตาเอาทีหลัง

*****
เกี่ยวกับผู้เขียน
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น