วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คู่มือตลาดหุ้นปีใหม่2554:กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม(บทที่1-บทที่4:หุ้นไทยแพงไปหรือยัง?)



คู่มือรวยหุ้นปี2554(บทที่1-บทที่4):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม แต่ตอนนี้หุ้นไทยแพงเกินไปหรือยัง?

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888


I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง


*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )

*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554

*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)

II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน

ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว


ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

III.ปัจจัยสำคัญชี้เป็นชี้ตาย ชี้ทิศทางตลาดหุ้นปีเถาะ

3.1 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบชะลอตัว มีเสถียรภาพขึ้น แต่กระต่ายจะตื่นตูมเหตุการณ์จากแผ่นดินใหญ่ให้สะดุ้งเป็นระยะๆ
ok: Power nap
*DM momentum + Asia inflation = DM bias to start

At the cusp of 2011, our key changes in view are greater inflation/policy tightening concerns for Asia and a firmer US growth outlook. This implies a slow start for China and regional equities, a pause in the outperformance trend vs. DM, but an uplift for more US-facing markets. Therefore, we begin the year overweight Taiwan, Korea and Singapore, funded by India
and Australia. We expect Japan to outperform early on, and move China to marketweight given inflation pressures and policy uncertainty.
*Midyear reemergence of the Asian growth story,
driving potential valuation upside

Despite the distractions of cyclical inflation issues, the strategic case for Asian growth is intact. We expect inflation concerns to dissipate midyear, and estimate 15% mid-cycle EPS growth (consensus 13%) on conservative revenue and margin assumptions, and feel valuations are attractive.

Our analysis of cycles and portfolio flows points to 30% full-year total USD returns; our analysis of the DM exposure and flow picture to EM implies we could see another year of substantial inflows, and potentially 1-2 points of multiple expansion in Asia.

โกลด์แมน แซคส์( Goldman Sachs):วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเมินปี2554 นี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพขึ้น อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเป็นดังนี้
-โลก GDP จะขยายตัว 4.6% ชะลอตัวลงจากปี2553ที่คาดว่าจะขยายตัว4.9%
-อเมริกา จะขยายตัว2.7%เท่ากับปี2553 แต่ปี2555จะเพิ่มเป็น3.6%
-จีนจะขยายตัว10% ใกล้เคียงกับคาดการณ์10.1%ในปี53
-จีน:การเติบโตที่มีเสถียรภาพ ระยะสั้นผันผวน

โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพ ไม่ฟองสบู่แตก หลังจากใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินการคลังเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่คาดว่าจะขึ้นมาที่ระดับ4.3%ในปี2554 แต่จะคุมอยู่มือ และลดลงเหลือ3%ในปี2555

เนื่องจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน เพื่อคุมเงินเฟ้อ(คาดจะเพิ่มจากระดับ3.2%ในปี2553เป็น4.3%ในปี2554) ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความผันผวนเป็นระยะ

ความผันผวนของเศรษฐกิจจีน จากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด จะเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเนืองๆ ต่อเนื่องจากปี2553 นั่นทำให้คาดการณ์ว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มที่สดใส อยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็จะตื่นตูมจากลูกมะตูมที่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะๆ
ดีแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะนักลงทุนเจอมาบ่อยแล้วในช่วงปี2553 หากเจอเข้าบ่อยๆก็อาจชาชินกับข่าวกระต่ายตื่นตูมทำนองนี้ไปเอง เข้าทำนองว่า”ข่าวร้ายข่าวลบที่ประสบอยู่เรื่อยๆก็จะชาชินไปเอง”(พูดภาษานักกลยุทธ์ว่า ตลาดได้absorbเอาปัจจัยลบเดิมๆซะชิน)
3.2ฝรั่งจะลงทุนอะไรในปี2554?

โกลด์แมน แซคส์บอกว่า
*อยากทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากภาคการเงินทำท่าฟื้นไข้ โดยหวังผลตอบแทน25%
*หรือหุ้นตัวจี๊ดในอเมริกา(คล้ายๆพวกดิริวิทีฟ วอร์แรนต์ของไทย)หวังผลตอบแทนซัก9%
*รวมทั้งหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพราะของยังถูก หวังผลตอบแทนราว20%
*ลงทุนในพวกตลาดค้าน้ำมันล่วงหน้า หวังผลตอบแทน28% โดบคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลก(WTI)จะขึ้นไปราวๆ105$/บาร์เรล (นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกPTTEP TOP เป็นหุ้นเด่นในบัญชีของเขาในปี2554)
*ส่วนหุ้นไทยให้เด่นๆคือPTTEP TOP

*NOTE:ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ คำตอบคือฝรั่ง หรือนักลงทุนต่างชาติชี้นำตลาดครับ หากเขามุ่งไปทางไหน อันนั้นขึ้น ดังนั้นหากประยุกต์ให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยปีหน้า ก็หมายความว่าเราควรให้ความสนใจหุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB หรือพลังงานอย่างPTT PTTEP TOP ครับ

Emerging market outperformance
*บริษัทหลักทรัพย์แบริงส์ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ บอกว่าในปี2554 ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะขึ้นดีให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆทั่วโลก(ดูรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง)
Investment Outlook for 2011

Heading into 2011, the economic and investment outlook remains uncertain. With the United States announcing a second round of quantitative easing and the international community bailing out Ireland, much debate continues to focus on policy issues and government intervention.

Despite the fractious tone of markets, it is worth noting that the actual underlying data is quite good. Indeed, growth is largely on track, the industrial sector is showing booming profits, corporate debt markets are open and the consumer is still shopping. In this context, we are confident that 2011 will present a number of relatively attractive investment opportunities.

So where do we see these opportunities? Well, equities still look very attractive versus government bonds. Equity risk premia are at levels where even a modest rise in bond yields would show that equity markets still offer good value. And the Federal Reserve is printing money, the Bank of Japan is printing money, the Bank of England will print if necessary and perhaps even the European Central Bank will print eventually. Such policy seems to be designed to beat the prudence out of investors, dragging them kicking and screaming into higher risk assets.

At the country level, we currently favour selected stocks in the UK, even though earnings expectations remain somewhat subdued. Clearly, the principal threat here comes from a rise in UK government bond yields although the anticipation of continued ultra-loose monetary policy should serve to hold yields at an artificially low level for the foreseeable future. From a valuation perspective, we also favour Western firms with a strong presence and significant exposure to developing countries. There are a number of opportunities in this area where emerging markets make up a significant proportion of company sales and most of the growth.

We remain positive on the wider investment case for emerging markets. The International Monetary Fund expects emerging economies to have grown by 7.1% over the course of 2010, compared to just 2.7% in the developed world. We believe that urbanisation and industrialisation will continue to drive growth and we favour companies with exposure to the rapid rise in domestic consumption across a number of emerging territories. We are mindful of inflationary pressures in China although the long-term fundamentals remain positive, underpinned by robust performance in the manufacturing and retail sectors. All in all, we believe that the superior growth prospects of emerging markets will continue to reward investors, especially as growth in the West remains subdued.

*NOTE:ตลาดหุ้นไทยก็เป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือEmerging market ก็ยังจะได้อานิสงส์จากทิศทางการลงทุนของต่างชาติ


3.3 การเมืองเรื่องของเหรียญ 2 ด้าน เป็นทั้งปัจจัยเสี่ยง และลุ้นElection Rally หรือหุ้นกระทิงวิ่งรับยุบสภาเลือกตั้งใหญ่

3.3.1 ปัจจัยเสี่ยง: โกลด์แมน แซคส์/Thailand: Political risk could restrain market upside
Market outlook Key themes and sector views
• Thailand’s earnings momentum has been strong—
28% EPS growth qoq in 3Q10 and its 9M EPS has
tracked 83% of the full-year FY10 consensus
estimate. We expect solid high-teen EPS growth for
this year and healthy mid-teen growth for next.-เศรษฐกิจและการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังขยายตัวดีในปี2554

• Valuations look low in absolute terms, but are near
the high end of its own historical range. The unstable
political environment and the associated risks to
economic and corporate earnings growth are still
high and could cap further multiple expansion.-แต่ราคาหุ้นก็จวนจะแพงแล้ว ขณะที่ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกปี

• Over 75% of market cap is concentrated in financials
and energy and their valuations appear unattractive
in a regional context. The thin liquidity for the
remaining one quarter of market cap may lead to
high transaction costs for investors.-หุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานถ่วงน้ำหนักตลาดอยู่กว่า 75% และว่าไปแล้วราคาในตอนนี้ก็ไม่ดึงดูดใจนัก หากเทียบกับราคาหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน

• Regional investors, and to a lesser extent, global EM
funds, are heavily overweight Thailand equities.
Potential fund rotation from South Asia to the North
amid weak liquidity in Thailand could create excess
price volatility, in our view.-มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากเอเชียใต้มาเอเชียเหนือ และเพิ่มน้ำหนักให้ตลาดหุ้นไทยมาก ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้ราคาหุ้นผันผวนมากไปด้วย

• Political risk: Parliamentary elections will be held in
2011 (timing is not confirmed yet) and the process and
results could provoke unexpected market volatility.-การจัดเลือกตั้งใหม่ในปี2554ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่แน่ และผลการเลือกตั้งก็ยังยากจะคาดเดาได้ ทำให้ตลาดผันผวนในปี2554

3.3.2ELECTION RALLY 1,200 จุดในปี2554/CLSA –เครดิตลียองเนส์ โบรกเกอร์เชื้อชาติฝรั่งเศส ซึ่งวิจัยตลาดหุ้นไทยได้อย่างแม่นยำที่สุดในรอบ 15 ปีมานี้(เคยฟันธงว่าฟองสบู่เศรษฐกิจไทยจะแตกก่อนฟองสบู่แตกปี2540ล่วงหน้า 1 ปี,เคยแนะนำให้กลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยในปี2546 ก่อนหุ้นจะวิ่งแรงถึง 120%ในปีนั้น)ได้ออกบทวิจัยชิ้นหนึ่ง

โดยCLSA ชี้ว่า ผลจากการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ในปี 2535 สมัยชวน 1 กับปี2544 สมัยทักษิณ 1นั้น เกิดบรรยากาศที่เรียกว่าELECTION RALLY หรือหุ้นวิ่งขึ้นก่อน และหลังการเลือกตั้งใหญ่ทั่ง 2 หนนั้นชนิดขึ้นแบบเท่าตัว

แต่ในการเลือกตั้งใหญ่ปี2554นี้หวังแบบไม่มากนัก ก็น่าจะขึ้นจากปัจจุบันไปราวๆ20% หรือเป้าหมายซัก 1,200 จุดได้

แต่ก็มีเงื่อนไขว่า ขอให้พรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยชนะได้เลือกตั้งใหม่ ก็จำให้ตลาดขึ้นได้ต่อเนื่องซัก 2 ปีเหมือนสถิติ ชวน 1 กับทักษิณ 1 ซึ่งก็มีสัญญาณที่ดีอยู่ เช่น

-นายกฯอภิสิทธิ์แสดงท่าทีประนีประนอมปล่อยตัวแกนนำ และนักโทษการเมืองเสื้อแดง

-การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ในเรื่องกติกาเลือกตั้งจะเป็นคุณให้พรรคร่วมรัฐบาลได้เปรียบในการเลือกตั้ง

-การวางกลไกทางอำนาจของระบอบปกครองปัจจุบัน ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชส่วนต่างๆกระชับอำนาจไว้หมดแล้ว

-งบประมาณเพื่อการใช้จ่ายในการเลือกตั้งสะพัดเพิ่ม22%

-การออกนโยบายประชาวิวัฒน์ หรือประชานิยมในฉลากยี่ห้อใหม่ เพื่อซื้อใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยากจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย
-การเลือกตั้งซ่อมหนล่าสุดเมื่อ 12 ธันวาคม 2553 ชี้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทยชักจะเล่นเป็นว่า ต้องทำยังไงจึงจะชนะเลือกตั้งได้

การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส1/2554 และจากนั้นมีการเลือกตั้งก็น่าอยู่ในไตรมาส1หรือไตรมาส2/2554

ภายหลังแก้ไขกติกาเรื่องเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จสรรพ ซึ่งไม่น่าเป็นปัญหา เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดูล้าลงมากในระยะหลัง สังเกตจากจำนวนผู้ชุมนุมน้อย สะท้อนว่าคนไทยอยากให้ชี้ขาดการเลือกตั้ง ขณะที่เสื้อแดงก็ต้องการเช่นนั้น เพราะคุณทักษิณมักจะอ้างว่า รัฐบาลนี้มีมือที่3แทรกแซงบงการอยู่

*NOTE- สุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูงและปัญหาการสืบทอดอำนาจ

ปัญหาสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง เป็นจุดที่ต้องเฝ้าจับตามองว่า อะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้
ประเด็นหลักต่อความขัดแย้งของการเมืองในประเทศไทย คือบทบาทของสถาบันเบื้องสูง และชนชั้นนำซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามค่านิยมตะวันตก ว่าสมควรที่จะเป็นอย่างไรต่อการปกครองประเทศ “เสื้อแดง” หลายคนได้โทษผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องสูง – โดยเฉพาะองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ – ว่าเป็นตัวการโค่นทักษิณ และอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารปี 2549

ในหลวงภูมิพลทรงได้รับความเคารพจากทุกฝ่ายในการเมืองไทยที่แม้จะขัดแย้งกัน ดังนั้นพระราชอำนาจทางการเมืองของพระองค์จึงเป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับได้ แม้จะถูกพวกที่เรียกกันว่า”ขบวนการล้มเจ้า”ท้าทายมากขึ้น แต่พระราชอาณาบารมีก็ยังสูงอยู่
แต่กับองค์รัชทายาทนั้นไม่ทรงได้รับความนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ดังที่มีรายงานจากวิกิลีกส์ว่า ชนชั้นนำอย่างพล.อ.เปรม,คุณอานันท์,พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พูดเรื่องนี้กับทูตสหรัฐฯ

นอกจากนั้นนักวิเคราะห์การเมืองต่างกลัวกันว่า ถ้าพระรัชทายาทเสด็จขี้นครองราชย์ในเวลาที่การเมืองไทยยังคงแตกแยกเช่นนี้ จะส่งผลให้เกิดการแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายฝ่าย ยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ผลที่ตามมาจะเป็นความหายนะอย่างใหญ่หลวงได้
ประเด็นหลักที่ต้องจับตามอง:

- ยังต้องติดตามและเฝ้าระวังในเรื่องสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง รวมทั้งเรื่องการสืบทอดอำนาจ จะเป็นผลกระทบด้านลบอย่างหนักต่อตลาดหุ้น และต่อค่าเงินบาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตของไทย

- บารมีของพล.อ.เปรมจะแผ่ถึงขนาดไหนยังคงเป็นจุดสำคัญในการชุมนุมประท้วง การใช้กฎหมายหมิ่นฯที่เข้มงวดในประเทศไทย เป็นเครื่องมือห้ามมิให้มีการถกเถียงใดๆเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ และบทบาทของกษัตริย์ ด้วยเหตุผลเช่นนี้จึงทำให้ “เสื้อแดง” เน้นการโจมตีไปที่เปรม ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี ถ้าเปรมยังคงเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการประท้วง ถือเป็นลางบอกเหตุได้ว่า การสืบทอดอำนาจย่อมจะไม่ราบรื่น และไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างที่หลายๆคนได้คาดหวังเอาไว้ แต่หากเป้าหมายการโจมตีเลยจากพล.อ.เปรมขึ้นไปอีก ก็สะท้อนถึงความยุ่งยากของอนาคตการเมืองไทยในระยะต่อไป

IV.หุ้นไทยถูกหรือแพง นั่นก็ขึ้นกับว่าอยู่บนสมมิติฐานไหน และของใคร

4.1หุ้นไทยยังห่างไกลกับคำว่าฟองสบู่

ท่านอาจเคยได้ยินว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ ความจริงแล้วการวัดว่าแพงหรือถูกนั้น เขาดูกันที่ราคาต่อกำไร(P/E) สถิติหุ้นไทยเป็นดังนี้

-P/Eเคยแพงมากคือ31.5เท่าในปี 2537 ก่อนจะตามมาด้วยการฟองสบู่แตกในอีก2-3ปีต่อมา เคยขึ้นไป28เท่าเมื่อปี2552 เมื่อตอนต้นปี2553เคยอยู่ที่26เท่า

-สถิติที่เคยซื้อขายต่ำสุดคือค่าP/E3.37เท่าตัวในปี2544 ตอนฟองสบู่อเมริกาแตกในปี2551เคยลงมาแถวๆ5.8เท่าตัว

-ตอนนี้ค่าP/Eหุ้นไทยลดลงจาก26เท่าตัวเมื่อตอนต้นปี ลงมาเหลือราวๆ15เท่า เนื่องจากผลกำไรของบจ.ดีขึ้น ณ ค่าP/Eปัจจุบันจึงไม่ถือว่าแพง แต่ก็ไม่ถูก เรียกว่าอยู่ในระดับกลางๆครับ

4.2มุมมองของCLSAว่ายังถูกกว่าตลาดอื่นในเอเชีย

CLSA ปรับปรุงค่าP/Eของตลาดหุ้นไทย เมื่อประมาณการณ์กำไรของบจ.ในสิ้นปี 2553 อยู่ที่13.5เท่า(ส่วน15เท่าที่โชว์ตอนนี้คือคิดจากกำไรบจ.งวด9เดือนแรก/2553) และปี2554คาดว่าค่าP/Eลดลงมาที่11.5เท่า
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในย่านเอเชียด้วยกันที่อยู่ราว15.3เท่าในปี2553 และ13.4เท่าในปี2554จึงนับว่าหุ้นไทยถูกกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค

ส่วนGDPนั้นGoldman sachs ประเมินว่าปี2553 ไทยจะขยายตัว7.9% เทียบกับเอเชียที่ขยายตัว 7.6% ส่วนปี2554จะขยายตัวชะลอลงระดับ4.2% ส่วนเอเชีย5.3%

GDPของโลกในปี2554 จะโต2.5% มีอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ย2.4% หรือคาดหวังผลตอบแทนที่แท้จริง4.9%

ส่วนGDPของไทยนั้นดูดีกว่าภาพรวมของโลก แต่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังแข็งอยู่ คาดหมายว่าเฉลี่ยจะอยู่ราว29.50บาท/ดอลลาร์(ซึ่งก็แข็งขึ้นมาแล้วหละครับ ณ ระดับที่คาดการณ์นี้)

4.3มุมมองของต่างชาติที่เห็นว่าเริ่มแพง แต่ก็ประเมินว่าหากไปซัก1,147ควรขายทำกำไร

*ผู้จัดการกองทุนในสิงคโปร์- So is Thailand equity a sell or a buy? หุ้นไทยเอาไงดี ซื้อหรือขาย คำตอบคือหากวิ่งขึ้นไปราวๆ1,147จุดในปี2554น่าขาย ยกเว้นแต่เงินทุนนอกยังไหลเข้าต่อเนื่อง
Keynotes
• Thailand trades at 14.0X 2010 estimated earnings and 12.2X 2011 estimated earnings


Historically Thailand equity market trades at a cheaper level compared to developed nations and we believe the market warrants a fair PE of 12.5X. This means that the market appears to be fully valued based on next year’s earnings and is trading on the expensive side based on current year earnings. Our target level based on 2011 estimated earnings is 1147 points (with a fair PE of 12.5X), providing investors with a still attractive potential upside of approximately 15% over 2 years. –จากสถิติหุ้นไทยซื้อขายเฉลี่ยราว12.5เท่า ซึ่งประเมินไว้ว่าหากขึ้นมาระดับนี้ จะเท่ากับดัชนีหุ้นไทย1,147จุด
However, we re-iterate that the key driver of the market (foreign fund inflows) is at the same time the key risk to the market (foreign fund outflows). We do not recommend investors to continue chasing the rally (for they are probably the ones that are driving the price higher hoping for new entrants to bring them further profits). Should foreign investors’ sentiment change and the foreign investors start exiting the market, the rally can quickly reverse and result in a rapid fall.-แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเม็ดเงินต่างชาติด้วย หากไหลเข้าต่อก็ดันหุ้นขึ้น หากไหลออกก็จะตก
We prefer to stay on the cautious side and we have downgraded Thailand from an “Attractive” rating of 3.5 stars to an “Attractive” rating of 3.0 stars. We believe it is justified to call for an “Underweight” in Thailand (Thailand is now our lowest-rated single country market) and for investors who are currently invested may choose to hold their positions or take partial profit. Alternatively, they may wish to switch their holdings to other relatively more attractive markets such as South Korea (4.5 stars) and equity markets of the Greater China region (4.5 stars - China, Hong Kong; 4 stars – Taiwan).-ก็เลยลดเกรดหุ้นไทยลงเหลือ 3 ดาว จากเดิม3ดาวครึ่ง หรือลดน้ำหนักการลงทุนลงมา

(ตอนต่อไป เปิดโผ4หุ้นเด่น,หุ้นปันผลงาม,หุ้นม้ามืดปี54 โทรสมัครสมาชิกรับคำปรึกษาการลงทุนเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800 โทรมือถือ087-7174939/087-7174979/087-7178979 หรือเข้าอบรมมือใหม่เล่นหุ้นให้รวยปี54:รหัสลับ9111รวยหุ้นปีกระต่าย รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54)ด่วนก่อนเต็ม

******

เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คู่มือรวยหุ้นปี 2554(บทที่1-บทที่3):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม ตอน ปัจจัยชี้ขาดตลาดหุ้นปีใหม่



คู่มือรวยหุ้นปี2554(บทที่1-บทที่3):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888


I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง


*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )

*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554

*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)

II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน

ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว


ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

III.ปัจจัยสำคัญชี้เป็นชี้ตาย ชี้ทิศทางตลาดหุ้นปีเถาะ

3.1 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบชะลอตัว มีเสถียรภาพขึ้น แต่กระต่ายจะตื่นตูมเหตุการณ์จากแผ่นดินใหญ่ให้สะดุ้งเป็นระยะๆ
ok: Power nap
*DM momentum + Asia inflation = DM bias to start

At the cusp of 2011, our key changes in view are greater inflation/policy tightening concerns for Asia and a firmer US growth outlook. This implies a slow start for China and regional equities, a pause in the outperformance trend vs. DM, but an uplift for more US-facing markets. Therefore, we begin the year overweight Taiwan, Korea and Singapore, funded by India
and Australia. We expect Japan to outperform early on, and move China to marketweight given inflation pressures and policy uncertainty.
*Midyear reemergence of the Asian growth story,
driving potential valuation upside

Despite the distractions of cyclical inflation issues, the strategic case for Asian growth is intact. We expect inflation concerns to dissipate midyear, and estimate 15% mid-cycle EPS growth (consensus 13%) on conservative revenue and margin assumptions, and feel valuations are attractive.

Our analysis of cycles and portfolio flows points to 30% full-year total USD returns; our analysis of the DM exposure and flow picture to EM implies we could see another year of substantial inflows, and potentially 1-2 points of multiple expansion in Asia.

โกลด์แมน แซคส์( Goldman Sachs):วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเมินปี2554 นี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพขึ้น อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเป็นดังนี้
-โลก GDP จะขยายตัว 4.6% ชะลอตัวลงจากปี2553ที่คาดว่าจะขยายตัว4.9%
-อเมริกา จะขยายตัว2.7%เท่ากับปี2553 แต่ปี2555จะเพิ่มเป็น3.6%
-จีนจะขยายตัว10% ใกล้เคียงกับคาดการณ์10.1%ในปี53
-จีน:การเติบโตที่มีเสถียรภาพ ระยะสั้นผันผวน

โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพ ไม่ฟองสบู่แตก หลังจากใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินการคลังเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่คาดว่าจะขึ้นมาที่ระดับ4.3%ในปี2554 แต่จะคุมอยู่มือ และลดลงเหลือ3%ในปี2555

เนื่องจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน เพื่อคุมเงินเฟ้อ(คาดจะเพิ่มจากระดับ3.2%ในปี2553เป็น4.3%ในปี2554) ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความผันผวนเป็นระยะ

ความผันผวนของเศรษฐกิจจีน จากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด จะเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเนืองๆ ต่อเนื่องจากปี2553 นั่นทำให้คาดการณ์ว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มที่สดใส อยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็จะตื่นตูมจากลูกมะตูมที่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะๆ
ดีแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะนักลงทุนเจอมาบ่อยแล้วในช่วงปี2553 หากเจอเข้าบ่อยๆก็อาจชาชินกับข่าวกระต่ายตื่นตูมทำนองนี้ไปเอง เข้าทำนองว่า”ข่าวร้ายข่าวลบที่ประสบอยู่เรื่อยๆก็จะชาชินไปเอง”(พูดภาษานักกลยุทธ์ว่า ตลาดได้absorbเอาปัจจัยลบเดิมๆซะชิน)
3.2ฝรั่งจะลงทุนอะไรในปี2554?

โกลด์แมน แซคส์บอกว่า
*อยากทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากภาคการเงินทำท่าฟื้นไข้ โดยหวังผลตอบแทน25%
*หรือหุ้นตัวจี๊ดในอเมริกา(คล้ายๆพวกดิริวิทีฟ วอร์แรนต์ของไทย)หวังผลตอบแทนซัก9%
*รวมทั้งหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพราะของยังถูก หวังผลตอบแทนราว20%
*ลงทุนในพวกตลาดค้าน้ำมันล่วงหน้า หวังผลตอบแทน28% โดบคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลก(WTI)จะขึ้นไปราวๆ105$/บาร์เรล (นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกPTTEP TOP เป็นหุ้นเด่นในบัญชีของเขาในปี2554)
*ส่วนหุ้นไทยให้เด่นๆคือPTTEP TOP

*NOTE:ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ คำตอบคือฝรั่ง หรือนักลงทุนต่างชาติชี้นำตลาดครับ หากเขามุ่งไปทางไหน อันนั้นขึ้น ดังนั้นหากประยุกต์ให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยปีหน้า ก็หมายความว่าเราควรให้ความสนใจหุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB หรือพลังงานอย่างPTT PTTEP TOP ครับ

Emerging market outperformance
*บริษัทหลักทรัพย์แบริงส์ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ บอกว่าในปี2554 ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะขึ้นดีให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆทั่วโลก(ดูรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง)
Investment Outlook for 2011

Heading into 2011, the economic and investment outlook remains uncertain. With the United States announcing a second round of quantitative easing and the international community bailing out Ireland, much debate continues to focus on policy issues and government intervention.

Despite the fractious tone of markets, it is worth noting that the actual underlying data is quite good. Indeed, growth is largely on track, the industrial sector is showing booming profits, corporate debt markets are open and the consumer is still shopping. In this context, we are confident that 2011 will present a number of relatively attractive investment opportunities.

So where do we see these opportunities? Well, equities still look very attractive versus government bonds. Equity risk premia are at levels where even a modest rise in bond yields would show that equity markets still offer good value. And the Federal Reserve is printing money, the Bank of Japan is printing money, the Bank of England will print if necessary and perhaps even the European Central Bank will print eventually. Such policy seems to be designed to beat the prudence out of investors, dragging them kicking and screaming into higher risk assets.

At the country level, we currently favour selected stocks in the UK, even though earnings expectations remain somewhat subdued. Clearly, the principal threat here comes from a rise in UK government bond yields although the anticipation of continued ultra-loose monetary policy should serve to hold yields at an artificially low level for the foreseeable future. From a valuation perspective, we also favour Western firms with a strong presence and significant exposure to developing countries. There are a number of opportunities in this area where emerging markets make up a significant proportion of company sales and most of the growth.

We remain positive on the wider investment case for emerging markets. The International Monetary Fund expects emerging economies to have grown by 7.1% over the course of 2010, compared to just 2.7% in the developed world. We believe that urbanisation and industrialisation will continue to drive growth and we favour companies with exposure to the rapid rise in domestic consumption across a number of emerging territories. We are mindful of inflationary pressures in China although the long-term fundamentals remain positive, underpinned by robust performance in the manufacturing and retail sectors. All in all, we believe that the superior growth prospects of emerging markets will continue to reward investors, especially as growth in the West remains subdued.

*NOTE:ตลาดหุ้นไทยก็เป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือEmerging market ก็ยังจะได้อานิสงส์จากทิศทางการลงทุนของต่างชาติ


3.3 การเมืองเรื่องของเหรียญ 2 ด้าน เป็นทั้งปัจจัยเสี่ยง และลุ้นElection Rally หรือหุ้นกระทิงวิ่งรับยุบสภาเลือกตั้งใหญ่

3.3.1 ปัจจัยเสี่ยง: โกลด์แมน แซคส์/Thailand: Political risk could restrain market upside
Market outlook Key themes and sector views
• Thailand’s earnings momentum has been strong—
28% EPS growth qoq in 3Q10 and its 9M EPS has
tracked 83% of the full-year FY10 consensus
estimate. We expect solid high-teen EPS growth for
this year and healthy mid-teen growth for next.-เศรษฐกิจและการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังขยายตัวดีในปี2554

• Valuations look low in absolute terms, but are near
the high end of its own historical range. The unstable
political environment and the associated risks to
economic and corporate earnings growth are still
high and could cap further multiple expansion.-แต่ราคาหุ้นก็จวนจะแพงแล้ว ขณะที่ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกปี

• Over 75% of market cap is concentrated in financials
and energy and their valuations appear unattractive
in a regional context. The thin liquidity for the
remaining one quarter of market cap may lead to
high transaction costs for investors.-หุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานถ่วงน้ำหนักตลาดอยู่กว่า 75% และว่าไปแล้วราคาในตอนนี้ก็ไม่ดึงดูดใจนัก หากเทียบกับราคาหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน

• Regional investors, and to a lesser extent, global EM
funds, are heavily overweight Thailand equities.
Potential fund rotation from South Asia to the North
amid weak liquidity in Thailand could create excess
price volatility, in our view.-มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากเอเชียใต้มาเอเชียเหนือ และเพิ่มน้ำหนักให้ตลาดหุ้นไทยมาก ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้ราคาหุ้นผันผวนมากไปด้วย

• Political risk: Parliamentary elections will be held in
2011 (timing is not confirmed yet) and the process and
results could provoke unexpected market volatility.-การจัดเลือกตั้งใหม่ในปี2554ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่แน่ และผลการเลือกตั้งก็ยังยากจะคาดเดาได้ ทำให้ตลาดผันผวนในปี2554

3.3.2ELECTION RALLY 1,200 จุดในปี2554/CLSA –เครดิตลียองเนส์ โบรกเกอร์เชื้อชาติฝรั่งเศส ซึ่งวิจัยตลาดหุ้นไทยได้อย่างแม่นยำที่สุดในรอบ 15 ปีมานี้(เคยฟันธงว่าฟองสบู่เศรษฐกิจไทยจะแตกก่อนฟองสบู่แตกปี2540ล่วงหน้า 1 ปี,เคยแนะนำให้กลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยในปี2546 ก่อนหุ้นจะวิ่งแรงถึง 120%ในปีนั้น)ได้ออกบทวิจัยชิ้นหนึ่ง

โดยCLSA ชี้ว่า ผลจากการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ในปี 2535 สมัยชวน 1 กับปี2544 สมัยทักษิณ 1นั้น เกิดบรรยากาศที่เรียกว่าELECTION RALLY หรือหุ้นวิ่งขึ้นก่อน และหลังการเลือกตั้งใหญ่ทั่ง 2 หนนั้นชนิดขึ้นแบบเท่าตัว

แต่ในการเลือกตั้งใหญ่ปี2554นี้หวังแบบไม่มากนัก ก็น่าจะขึ้นจากปัจจุบันไปราวๆ20% หรือเป้าหมายซัก 1,200 จุดได้

แต่ก็มีเงื่อนไขว่า ขอให้พรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยชนะได้เลือกตั้งใหม่ ก็จำให้ตลาดขึ้นได้ต่อเนื่องซัก 2 ปีเหมือนสถิติ ชวน 1 กับทักษิณ 1 ซึ่งก็มีสัญญาณที่ดีอยู่ เช่น

-นายกฯอภิสิทธิ์แสดงท่าทีประนีประนอมปล่อยตัวแกนนำ และนักโทษการเมืองเสื้อแดง

-การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ในเรื่องกติกาเลือกตั้งจะเป็นคุณให้พรรคร่วมรัฐบาลได้เปรียบในการเลือกตั้ง

-การวางกลไกทางอำนาจของระบอบปกครองปัจจุบัน ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชส่วนต่างๆกระชับอำนาจไว้หมดแล้ว

-งบประมาณเพื่อการใช้จ่ายในการเลือกตั้งสะพัดเพิ่ม22%

-การออกนโยบายประชาวิวัฒน์ หรือประชานิยมในฉลากยี่ห้อใหม่ เพื่อซื้อใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยากจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย
-การเลือกตั้งซ่อมหนล่าสุดเมื่อ 12 ธันวาคม 2553 ชี้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทยชักจะเล่นเป็นว่า ต้องทำยังไงจึงจะชนะเลือกตั้งได้

การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส1/2554 และจากนั้นมีการเลือกตั้งก็น่าอยู่ในไตรมาส1หรือไตรมาส2/2554

ภายหลังแก้ไขกติกาเรื่องเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จสรรพ ซึ่งไม่น่าเป็นปัญหา เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดูล้าลงมากในระยะหลัง สังเกตจากจำนวนผู้ชุมนุมน้อย สะท้อนว่าคนไทยอยากให้ชี้ขาดการเลือกตั้ง ขณะที่เสื้อแดงก็ต้องการเช่นนั้น เพราะคุณทักษิณมักจะอ้างว่า รัฐบาลนี้มีมือที่3แทรกแซงบงการอยู่

*NOTE- สุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูงและปัญหาการสืบทอดอำนาจ

ปัญหาสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง เป็นจุดที่ต้องเฝ้าจับตามองว่า อะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้
ประเด็นหลักต่อความขัดแย้งของการเมืองในประเทศไทย คือบทบาทของสถาบันเบื้องสูง และชนชั้นนำซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามค่านิยมตะวันตก ว่าสมควรที่จะเป็นอย่างไรต่อการปกครองประเทศ “เสื้อแดง” หลายคนได้โทษผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องสูง – โดยเฉพาะองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ – ว่าเป็นตัวการโค่นทักษิณ และอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารปี 2549

ในหลวงภูมิพลทรงได้รับความเคารพจากทุกฝ่ายในการเมืองไทยที่แม้จะขัดแย้งกัน ดังนั้นพระราชอำนาจทางการเมืองของพระองค์จึงเป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับได้ แม้จะถูกพวกที่เรียกกันว่า”ขบวนการล้มเจ้า”ท้าทายมากขึ้น แต่พระราชอาณาบารมีก็ยังสูงอยู่
แต่กับองค์รัชทายาทนั้นไม่ทรงได้รับความนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ดังที่มีรายงานจากวิกิลีกส์ว่า ชนชั้นนำอย่างพล.อ.เปรม,คุณอานันท์,พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พูดเรื่องนี้กับทูตสหรัฐฯ

นอกจากนั้นนักวิเคราะห์การเมืองต่างกลัวกันว่า ถ้าพระรัชทายาทเสด็จขี้นครองราชย์ในเวลาที่การเมืองไทยยังคงแตกแยกเช่นนี้ จะส่งผลให้เกิดการแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายฝ่าย ยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ผลที่ตามมาจะเป็นความหายนะอย่างใหญ่หลวงได้
ประเด็นหลักที่ต้องจับตามอง:

- ยังต้องติดตามและเฝ้าระวังในเรื่องสุขภาพของบุคคลสำคัญระดับสูง รวมทั้งเรื่องการสืบทอดอำนาจ จะเป็นผลกระทบด้านลบอย่างหนักต่อตลาดหุ้น และต่อค่าเงินบาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตของไทย

- บารมีของพล.อ.เปรมจะแผ่ถึงขนาดไหนยังคงเป็นจุดสำคัญในการชุมนุมประท้วง การใช้กฎหมายหมิ่นฯที่เข้มงวดในประเทศไทย เป็นเครื่องมือห้ามมิให้มีการถกเถียงใดๆเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ และบทบาทของกษัตริย์ ด้วยเหตุผลเช่นนี้จึงทำให้ “เสื้อแดง” เน้นการโจมตีไปที่เปรม ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี ถ้าเปรมยังคงเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการประท้วง ถือเป็นลางบอกเหตุได้ว่า การสืบทอดอำนาจย่อมจะไม่ราบรื่น และไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างที่หลายๆคนได้คาดหวังเอาไว้ แต่หากเป้าหมายการโจมตีเลยจากพล.อ.เปรมขึ้นไปอีก ก็สะท้อนถึงความยุ่งยากของอนาคตการเมืองไทยในระยะต่อไป

(รออ่านตอนต่อไป หรือโทรสมัครสมาชิกเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800 โทรมือถือ087-7174939/087-7174979/087-7178979 หรือเข้าอบรมมือใหม่เล่นหุ้นให้รวยปี54:รหัสลับ9111รวยหุ้นปีกระต่าย รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54)ด่วนก่อนเต็ม

******

เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รหัสลับ9111 อบรมเล่นหุ้นให้รวยปีกระต่ายตื่นตูม รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54คัมภีร์หุ้นไทย



คู่มือรวยหุ้นปี2554(ตอนที่1และตอนที่2 หรือบทที่1-บทที่3):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888


I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง


*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )

*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554

*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)

II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน

ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว


ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

III.ปัจจัยสำคัญชี้เป็นชี้ตาย ชี้ทิศทางตลาดหุ้นปีเถาะ

3.1 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบชะลอตัว มีเสถียรภาพขึ้น แต่กระต่ายจะตื่นตูมเหตุการณ์จากแผ่นดินใหญ่ให้สะดุ้งเป็นระยะๆ
ok: Power nap
*DM momentum + Asia inflation = DM bias to start

At the cusp of 2011, our key changes in view are greater inflation/policy tightening concerns for Asia and a firmer US growth outlook. This implies a slow start for China and regional equities, a pause in the outperformance trend vs. DM, but an uplift for more US-facing markets. Therefore, we begin the year overweight Taiwan, Korea and Singapore, funded by India
and Australia. We expect Japan to outperform early on, and move China to marketweight given inflation pressures and policy uncertainty.
*Midyear reemergence of the Asian growth story,
driving potential valuation upside

Despite the distractions of cyclical inflation issues, the strategic case for Asian growth is intact. We expect inflation concerns to dissipate midyear, and estimate 15% mid-cycle EPS growth (consensus 13%) on conservative revenue and margin assumptions, and feel valuations are attractive.

Our analysis of cycles and portfolio flows points to 30% full-year total USD returns; our analysis of the DM exposure and flow picture to EM implies we could see another year of substantial inflows, and potentially 1-2 points of multiple expansion in Asia.

โกลด์แมน แซคส์( Goldman Sachs):วาณิชธนกิจรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเมินปี2554 นี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวแบบมีเสถียรภาพขึ้น อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเป็นดังนี้
-โลก GDP จะขยายตัว 4.6% ชะลอตัวลงจากปี2553ที่คาดว่าจะขยายตัว4.9%
-อเมริกา จะขยายตัว2.7%เท่ากับปี2553 แต่ปี2555จะเพิ่มเป็น3.6%
-จีนจะขยายตัว10% ใกล้เคียงกับคาดการณ์10.1%ในปี53
-จีน:การเติบโตที่มีเสถียรภาพ ระยะสั้นผันผวน

โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่าในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพ ไม่ฟองสบู่แตก หลังจากใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินการคลังเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อที่คาดว่าจะขึ้นมาที่ระดับ4.3%ในปี2554 แต่จะคุมอยู่มือ และลดลงเหลือ3%ในปี2555

เนื่องจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดของทางการจีน เพื่อคุมเงินเฟ้อ(คาดจะเพิ่มจากระดับ3.2%ในปี2553เป็น4.3%ในปี2554) ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่ออัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความผันผวนเป็นระยะ

ความผันผวนของเศรษฐกิจจีน จากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวด จะเป็นปัจจัยรบกวนบรรยากาศเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเนืองๆ ต่อเนื่องจากปี2553 นั่นทำให้คาดการณ์ว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มที่สดใส อยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็จะตื่นตูมจากลูกมะตูมที่หล่นลงบนแผ่นดินใหญ่เป็นระยะๆ
ดีแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใหม่นัก เพราะนักลงทุนเจอมาบ่อยแล้วในช่วงปี2553 หากเจอเข้าบ่อยๆก็อาจชาชินกับข่าวกระต่ายตื่นตูมทำนองนี้ไปเอง เข้าทำนองว่า”ข่าวร้ายข่าวลบที่ประสบอยู่เรื่อยๆก็จะชาชินไปเอง”(พูดภาษานักกลยุทธ์ว่า ตลาดได้absorbเอาปัจจัยลบเดิมๆซะชิน)
3.2ฝรั่งจะลงทุนอะไรในปี2554?

โกลด์แมน แซคส์บอกว่า
*อยากทุ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ของอเมริกา หลังจากภาคการเงินทำท่าฟื้นไข้ โดยหวังผลตอบแทน25%
*หรือหุ้นตัวจี๊ดในอเมริกา(คล้ายๆพวกดิริวิทีฟ วอร์แรนต์ของไทย)หวังผลตอบแทนซัก9%
*รวมทั้งหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพราะของยังถูก หวังผลตอบแทนราว20%
*ลงทุนในพวกตลาดค้าน้ำมันล่วงหน้า หวังผลตอบแทน28% โดบคาดว่าราคาน้ำมันดิบโลก(WTI)จะขึ้นไปราวๆ105$/บาร์เรล (นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกPTTEP TOP เป็นหุ้นเด่นในบัญชีของเขาในปี2554)
*ส่วนหุ้นไทยให้เด่นๆคือPTTEP TOP

*NOTE:ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ คำตอบคือฝรั่ง หรือนักลงทุนต่างชาติชี้นำตลาดครับ หากเขามุ่งไปทางไหน อันนั้นขึ้น ดังนั้นหากประยุกต์ให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยปีหน้า ก็หมายความว่าเราควรให้ความสนใจหุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB หรือพลังงานอย่างPTT PTTEP TOP ครับ
Emerging market outperformance
*บริษัทหลักทรัพย์แบริงส์ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ บอกว่าในปี2554 ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะขึ้นดีให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆทั่วโลก(ดูรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง)
Investment Outlook for 2011

Heading into 2011, the economic and investment outlook remains uncertain. With the United States announcing a second round of quantitative easing and the international community bailing out Ireland, much debate continues to focus on policy issues and government intervention.

Despite the fractious tone of markets, it is worth noting that the actual underlying data is quite good. Indeed, growth is largely on track, the industrial sector is showing booming profits, corporate debt markets are open and the consumer is still shopping. In this context, we are confident that 2011 will present a number of relatively attractive investment opportunities.

So where do we see these opportunities? Well, equities still look very attractive versus government bonds. Equity risk premia are at levels where even a modest rise in bond yields would show that equity markets still offer good value. And the Federal Reserve is printing money, the Bank of Japan is printing money, the Bank of England will print if necessary and perhaps even the European Central Bank will print eventually. Such policy seems to be designed to beat the prudence out of investors, dragging them kicking and screaming into higher risk assets.

At the country level, we currently favour selected stocks in the UK, even though earnings expectations remain somewhat subdued. Clearly, the principal threat here comes from a rise in UK government bond yields although the anticipation of continued ultra-loose monetary policy should serve to hold yields at an artificially low level for the foreseeable future. From a valuation perspective, we also favour Western firms with a strong presence and significant exposure to developing countries. There are a number of opportunities in this area where emerging markets make up a significant proportion of company sales and most of the growth.

We remain positive on the wider investment case for emerging markets. The International Monetary Fund expects emerging economies to have grown by 7.1% over the course of 2010, compared to just 2.7% in the developed world. We believe that urbanisation and industrialisation will continue to drive growth and we favour companies with exposure to the rapid rise in domestic consumption across a number of emerging territories. We are mindful of inflationary pressures in China although the long-term fundamentals remain positive, underpinned by robust performance in the manufacturing and retail sectors. All in all, we believe that the superior growth prospects of emerging markets will continue to reward investors, especially as growth in the West remains subdued.

*NOTE:ตลาดหุ้นไทยก็เป็น 1 ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือEmerging market ก็ยังจะได้อานิสงส์จากทิศทางการลงทุนของต่างชาติ


(รออ่านตอนต่อไป หรือโทรสมัครสมาชิกเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800 หรือเข้าอบรมมือใหม่เล่นหุ้นให้รวยปี54:รหัสลับ9111รวยหุ้นปีกระต่าย รับฟรีคู่มือตลาดหุ้นปี54)

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คู่มือตลาดหุ้นปีกระต่ายตื่นตูม:รวยหุ้นเด่นปีใหม่2554


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
**********
คู่มือรวยหุ้นปี2554(ตอนที่1):กระทิงตัวใหญ่ในปีกระต่ายตื่นตูม

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานบริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ที่ปรึกษาการลงทุน ใบอนุญาตเลขที่ 12888


I.กลับไปดูคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 การคาดการณ์กับผลงานที่ออกมาจริง


*ในคู่มือตลาดหุ้นปี 2553 นั้น ผมมองว่า จะเป็นปีที่”ต้นร้ายปลายดี” คือช่วงต้นปีน่าจะตก แต่แย่สุดก็จะไม่ลึกกว่าเขต 500 จุด (ความจริงดัชนีSETแย่ที่สุดของปี2553อยู่ที่ 679 จุด) และจะขึ้นไปตอนปลายปีดีที่สุดอาจเป็น 975 จุด (ความจริงปรากฎว่าดีกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ โดยSETผ่าน1,000ขึ้นไปที่1,055จุด )

*ผมได้คาดการณ์ว่า แต่ปี2554 จะ rally หรือวิ่งครั้งใหญ่เป็นกระทิงของจริงอาจไปถึง 1,200 จุดในราวเดือนกันยายน 2554

*หุ้นเด่นในปี 2553 ผมได้แนะนำซื้อ SVI ในหมวดชิ้นส่วนฯ(ตอนนั้นราคาราวๆ2บาท ปีนี้ขึ้นมาสูงสุดที่3.86บาท ดีกว่าที่ผมคาดไว้แถว3.20บาท) และBCP(ตอนนั้นอยู่แถวๆ14บาท ขึ้นมาสูงสุด18.60บาท แต่ถือว่าขึ้นน้อยกว่าท่าคาดไว้แถว20บาท)
*นอกจากนั้นผมได้แนะนำให้หาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯตัวอื่น หรือหมวด อาหาร-การเกษตร เป็นหลัก (ซึ่งตลอดปี2553ก็ยังเป็นปีที่กลุ่มอาหาร และการเกษตรขึ้นได้ดีกว่าตลาดรวมมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือSTA CPF หรือหุ้นเด่นอีกตัวที่แนะนำลงทุนคือKCEเขต4บาท ขึ้นมาปีนี้สูงสุด10.60บาท)

II.ตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้ จับตามองทิศทางตลาดTIPในปี2554 หากแรงต่อก็ยังไปทางเดียวกัน หากเจอขายก็น่าจะลงด้วยกัน เพราะเป็นเงินต่างชาติก้อนเดียวกัน

ที่มา: http://www.fundsupermart.com/main/articleFiles/webarticles/4728/SG/Weekly%20Report%2020101213.pdf
-นับจากตอนต้นปี2553 มาถึงสิ้นปี 2553 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาราว 41% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเอเชียที่ขึ้นมาราว 48%
-เทียบกับตลาดหุ้นที่สำคัญอย่างอเมริกาทั้งปี2553ขึ้นมาราว11% ยุโรปเฉลี่ย 9% ตลาดหุ้นย่านเอเชียเฉลี่ย14% ฮ่องกงเพียงราว6%
-ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในปี 2553 คือเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
-แต่เงินทุนไหลเข้าในปี 2533 พบว่าตลาดหุ้นที่ได้อานิสงส์มากที่สุด คือตลาดหุ้นที่เรียกว่า TIP-Thailand,Indonesia,Philippines โดย 3 ตลาดนี้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ หากเทียบก่อนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาในปี 2550-2551


ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์อยู่ราวๆ2,800จุด มาปีนี้ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(New high)ที่ระดับ3,800จุด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับคำแนะนำให้ขายทำกำไรจากกองทุนต่างชาติแล้ว


ตลาดหุ้นไทย:ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์อยู่ที่ 925จุด ปี2553ขึ้นทำจุดNew highที่1055จุด กองทุนต่างชาติให้น้ำหนักถือรอขายเขต1,250จุดในปี2554

ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์:ขึ้นทำNew highเช่นกัน ข้อพิจารณาที่น่าสนใจคือ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรตลาดTIPน่าจะเป็นเงินก้อนเดียวกัน หากปี2554นี้อีก2ตลาดคืออินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ยังขึ้น หุ้นไทยก็น่าจะยังขึ้นต่อไป แต่หากอีก 2 ตลาดลง ก็ควรระวังว่าอาจมีแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน (อ่านตอนต่อไป หรือโทรสมัครสมาชิกเพื่อรับหนังสือคู่มือหุ้นปี54ฉบับสมบูรณ์ก่อนใคร 02-9275800)
***************


1.แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้(20-24ธ.ค.53)อาทิตย์นี้ผู้จัดการกองทุนน่าจะขายปิดงบกลับบ้านพักร้อนคริสมาสต์หมด ส่วนแนวโน้มข้างหน้ามีเงินใหม่LTFเข้า+ Santa’gift +Year end Rally และพีคในJanuary effect สูตรสำเร็จ3ช่วงกับการลงทุน ตามสูตรแล้วจะมีnew highเกิน1055จุด ไปเป้าหมาย1100-1130

สถานการณ์และทิศทางแนวโน้ม-ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ครับ คือตลาดก็ซึมๆตัว แต่ข้อเสียคือหลุดเขต1025ลงมา อาจมีแรงเฉื่อยมาถึงต้นสัปดาห์ใหม่ ที่อาจลงมาเขต1016-1018 เพื่อลงมาปิดGAPที่เปิดไว้ แล้วค่อยขึ้น

ยังคิดตามที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าก่อนคริสมาสต์น่าจะซึม หรืออ่อนลงมาก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้จัดการกองทุนฝรั่งเขาจะขายปิดงบงวดสิ้นปี ก่อนจะหยุดพักร้อนยาวช่วงเทศกาลคริสมาสต์ที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า

หากคาดไม่ผิด ผมคิดว่าน่าจะขายกันหมดเพื่อพักร้อนในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ หรือช้าหน่อยก็ต้นสัปดาห์นี้ จากนั้นจะเป็นช่วงที่กองทุนในประเทศนำเม็ดเงินใหม่คนไทยจากกองทุนLTFมาซื้อ

โดยเงินใหม่LTFน่าจะเริ่มเข้าตลาดตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

ดังนั้นหุ้นตัวใหญ่ในSET50อย่างพวกพลังงาน แบงก์ สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง เคมี อะไรพวกนี้ก็จะมีอาการอย่างที่เห็น คือสัปดาห์ก่อนนี้ไม่ลงก็ซึม แต่ว่าอาทิตย์นี้ไปพอเงินLTFมาก็จะเริ่มขึ้นครับ ดังนั้นก็อดเปรื้ยวไว้กินหวานกันหน่อย

ผมยังนำกรอบความคิดเดิมเรื่อง”พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”เป็นกรอบความคิดหลักในการมองแนวโน้มตลาดหุ้นในรอบนี้ และเรื่องอื่นๆ ดังนี้

1.1กรอบแนวคิดเรื่องวิกฤตเป็นโอกาสของตลาดหุ้น –กล่าวคือเมื่อเกิดวิกฤตใดๆ ตลาดหุ้นจะมีผลกระทบ 3 ช่วง ช่วงแรกลงแรง ,ช่วงสองซึมรอความชัดเจน ,ช่วงสามขึ้น และมักจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(นิวไฮ)

วิกฤตหนล่าสุดคือวิกฤตคดียุบพรรค ทั้งคดี29ล้านและคดี258ล้านจบไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงระยะที่สาม จึงเชื่อได้ว่าน่าจะมีโอกาสทำนิวไฮกว่าพีคเดิม1055จุดที่เคยทำเอาไว้(หลังจากกองทุนฝรั่งขายปิดงบสิ้นปีเพื่อพักผ่อนยาวช่วงคริสมาสต์+ปีใหม่)

1.2กรอบแนวคิดเรื่องเงินLTFเข้าในปลายเดือนธันวาคม-คนไทยชอบทำอะไรนาทีสุดท้าย เงินลงทุนLTFจะมาหนุนตลาดหุ้นในช่วงท้ายๆ(กองทุนนี้มักซื้อหุ้นในSET50ก็ให้ลองดูชื่อหุ้นในSET50นะครับ) และจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นวิ่งในช่วงท้ายปี

เราน่าจะได้เห็นเม็ดเงินใหม่LTFเข้าซื้อหุ้นตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ไปแรงๆก็สัปดาห์สุดท้ายของปี

1.3กรอบแนวคิดเรื่องSanta’gift+Year end rally+Crismast gift และพีคในJanuary effect-ในช่วงท้ายปีต่อเนื่องถึงสัปดาห์แรกของปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยมักวิ่งแรง เลยเรียกกันว่าเป็นของขวัญจากซานต้า ช่วงคริสมาสต์ และวิ่งส่งท้ายปี และมักวิ่งแรงในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ที่เรียกกันว่าJanuary effect

ผมคาดว่าปีนี้ก็จะเป็นแบบนี้คือตลาดน่าจะวิ่งขึ้นทำnew highเกินด่าน1055เป้าหมายน่าจะเป็น1100-1130จุด แล้วก็ไปพีคยอดดอยในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2554 เผลอๆจะเป็นวันจันทร์ที่3หรืออังคารที่4มกราคม แล้วก็ลงปรับฐานแรงๆ

Note:อย่างไรก็ตามมักปรากฎว่าก่อนช่วงคริสมาสต์ทุกๆปีต่างชาติมักขายหุ้นไทย เนื่องจากผู้จัดการกองทุนต่างชาติมักขายหุ้นปิดงบสิ้นปี ก่อนกลับบ้านพักร้อนยาวคริสมาสต์ กลับมาซื้ออีกทีตอนต้นปี

ดังนั้นหุ้นช่วงก่อนคริสมาสต์มักซึม หรือซึมลง ซึ่งก็จะมีกรอบฐานรับแรกบริเวณ1025จุด แต่เมื่อหลุดก็อาจลงแถมไปแถวๆ1016-1019จุด เป็นการลงมาปิดGAPก่อนจะขึ้นต่อไปทดสอบด่าน1055จุด

วันนี้กรอบแนวรับอยู่แถวๆ1016-1019(ลงมาปิดGapแถวๆ1016-1019แล้วก็จะขึ้นอยู่ดี) แนวต้านวันนี้แถวๆ1025-1030จุด หากปิดเขตนี้หรือผ่านก็แปลว่าเริ่มตั้งหลักได้ น่าลุ้นขึ้นไปตีด่าน1055แตกแล้วrallyส่งท้ายปี

2.SET50น้ำใหม่ของตลาดหุ้น ใครเข้าใครออกและมีผลอย่างไร

ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ในSET50ใหม่ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2554 มีรายชื่อดังนี้ BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA

ส่วนรายที่ให้ออกไปมีรายชื่อดังนี้ BCP, HANA, KSL, PSL, QH, TTA

ทั้งนี้เกณฑ์การให้เข้าออก นอกจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่แล้ว ก็คำนึงเรื่องสภาพคล่องและปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดเป็นหลัก

ผลประโยชน์ที่หุ้นเข้าใหม่จะได้รับคือ จะทำให้นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนรายที่ออกก็อาจทำให้ได้รับความสนใจจากกองทุนและต่างชาติน้อยลง(แต่ก็ไม่จำเป็นนัก เช่นช่วงนี้มีแรงซื้อBCPหนาแน่น ทั้งที่ออกจากSET50 แต่ตอนอยู่SET50มาเป็นปี แทบจะไม่เคลื่อนไหวเลย)

โบรกเกอร์ASPให้BTSเด่นที่สุดในหุ้นเข้าSET50ใหม่ ให้เป้าหมายราคาพื้นฐาน1.26บาท SSI1.76บาท KKให้เป้าหมาย54บาท

เราแนะนำให้ซื้อBTS โดยเฉพาะหากผ่านด่านแนวต้านรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง เขต0.83-0.85น่าจะไปได้ไกลในระยะกลาง คือเป้าหมายราวๆ1.20-1.30บาท(รายละเอียด ขอให้ท่านสมาชิกอ่านในกระทิงทองส่องหุ้นที่ลงมาหลายวันแล้ว)

3.SET50 ปรับฐานอาจย่อลึกแถวๆ705-710 เมื่อยืนได้จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่ลุ้นnew highเกิน735 เป้า750หรือ780

แนวโน้ม—ขึ้นไปรอบที่ผ่านมายังไม่ทำnew highเกิน735แล้วลง วันศุกร์ปิดที่714จุด แต่เกิดสัญญาณขายในmodified stochastics ก็อาจเกิดแรงขายให้ลงต่อได้

วันนี้หรือช่วงนี้มีแนวรับแรกเขต710-714 หากยืนได้จะขึ้นไปแนวต้านแรก722-725 ถัดไป730และ แนวต้านหลักพีคเดิม735จุด หากผ่าน(น่าจะเป็นWEEKหน้า)ก็จะขึ้นไปนิวไฮเขต750และหรือ780จุด

แต่หากยืนเขต710-714ไม่ได้ ก็อาจลงไปแนวรับถัดไปซึ่งเป็นแนวรับหลักบริเวณ705จุด+/-(701-707จุด) แต่คาดว่าลงไม่เกินด่านนี้ แล้วจะค่อยฟื้นตัว

กลยุทธ์-เข้าซื้อที่เขตแนวรับ และหากไม่หลุดด่าน705+/-น่าถือต่อ วันนี้แนวต้าน714ถัดไป722จุด และไปลุ้นทดสอบแนวต้านพัคเดิม735ก่อนสิ้นปี

*********

9111(9มกราคม2553)อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันที่9111(อาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 15 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ 087-7174939/087-7174979/087-7178979

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์หุ้นไทย(17ธ.ค.):อดเปรี้ยวไว้กินหวาน อาทิตย์นี้ซึมตามคาดว่าผู้จัดการกองทุนฝรั่งขายเพื่อพักร้อนยาวคริสมาสต์แต่อาทิตย์หน้าLTFเข้าดัน


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
**********
1.อาทิตย์นี้ผู้จัดการกองทุนขายปิดงบกลับบ้านพักร้อนคริสมาสต์ แต่แนวโน้มข้างหน้า Santa’gift +Year end Rally และพีคในJanuary effect สูตรสำเร็จ3ช่วงกับการลงทุน ตามสูตรแล้วจะมีnew highเกิน1055จุด ไปเป้าหมาย1100-1130 ฐานช่วงนี้1025+/-

สถานการณ์และทิศทางแนวโน้ม-ในสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ครับ คือตลาดก็ซึมๆตัวในกรอบระหว่าง1025-1055จุดตามที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้จัดการกองทุนฝรั่งเขาจะขายปิดงบงวดสิ้นปี ก่อนจะหยุดพักร้อนยาวช่วงเทศกาลคริสมาสต์ที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า

หากคาดไม่ผิด ผมคิดว่าน่าจะขายกันหมดเพื่อพักร้อนในสุดสัปดาห์นี้ ช้าหน่อยก็ต้นสัปดาห์หน้า จากนั้นจะเป็นช่วงที่กองทุนในประเทศนำเม็ดเงินใหม่คนไทยจากกองทุนLTFมาซื้อ

ดังนั้นหุ้นตัวใหญ่ในSET50อย่างพวกพลังงาน แบงก์ สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง เคมี อะไรพวกนี้ก็จะมีอาการอย่างที่เห็น คือสัปดาห์นี้ไม่ลงก็ซึม แต่ว่าอาทิตย์หน้าไปพอเงินLTFมาก็จะขึ้นครับ ดังนั้นก็อดเปรื้ยวไว้กินหวานกันหน่อย

ผมยังนำกรอบความคิดเดิมเรื่อง”พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”เป็นกรอบความคิดหลักในการมองแนวโน้มตลาดหุ้นในรอบนี้ และเรื่องอื่นๆ ดังนี้

1.1กรอบแนวคิดเรื่องวิกฤตเป็นโอกาสของตลาดหุ้น –กล่าวคือเมื่อเกิดวิกฤตใดๆ ตลาดหุ้นจะมีผลกระทบ 3 ช่วง ช่วงแรกลงแรง ,ช่วงสองซึมรอความชัดเจน ,ช่วงสามขึ้น และมักจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(นิวไฮ)

วิกฤตหนล่าสุดคือวิกฤตคดียุบพรรค ทั้งคดี29ล้านและคดี258ล้านจบไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงระยะที่สาม จึงเชื่อได้ว่าน่าจะมีโอกาสทำนิวไฮกว่าพีคเดิม1055จุดที่เคยทำเอาไว้(หลังจากกองทุนฝรั่งขายปิดงบสิ้นปีเพื่อพักผ่อนยาวช่วงคริสมาสต์+ปีใหม่)

1.2กรอบแนวคิดเรื่องเงินLTFเข้าในปลายเดือนธันวาคม-คนไทยชอบทำอะไรนาทีสุดท้าย เงินลงทุนLTFจะมาหนุนตลาดหุ้นในช่วงท้ายๆ(กองทุนนี้มักซื้อหุ้นในSET50ก็ให้ลองดูชื่อหุ้นในSET50นะครับ) และจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นวิ่งในช่วงท้ายปี

1.3กรอบแนวคิดเรื่องSanta’gift+Year end rally+Crismast gift และพีคในJanuary effect-ในช่วงท้ายปีต่อเนื่องถึงสัปดาห์แรกของปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยมักวิ่งแรง เลยเรียกกันว่าเป็นของขวัญจากซานต้า ช่วงคริสมาสต์ และวิ่งส่งท้ายปี และมักวิ่งแรงในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ที่เรียกกันว่าJanuary effect

ผมคาดว่าปีนี้ก็จะเป็นแบบนี้คือตลาดน่าจะวิ่งขึ้นทำnew highเกินด่าน1055เป้าหมายน่าจะเป็น1100-1130จุด แล้วก็ไปพีคยอดดอยในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2554 เผลอๆจะเป็นวันจันทร์ที่3หรืออังคารที่4มกราคม แล้วก็ลงปรับฐานแรงๆ

Note:อย่างไรก็ตามมักปรากฎว่าก่อนช่วงคริสมาสต์ทุกๆปีต่างชาติมักขายหุ้นไทย เนื่องจากผู้จัดการกองทุนต่างชาติมักขายหุ้นปิดงบสิ้นปี ก่อนกลับบ้านพักร้อนยาวคริสมาสต์ กลับมาซื้ออีกทีตอนต้นปี

ดังนั้นหุ้นช่วงก่อนคริสมาสต์มักซึม หรือซึมลง ซึ่งก็จะมีกรอบฐานรับบริเวณ1025จุด หรือกล่าวง่ายๆว่าแกว่งในกรอบ1025-1055 พอสัปดาห์หน้าเมื่อฝรั่งขายกลับพักผ่อนคริสมาสต์จึงจะขึ้น และไปแรงสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ และอาจไปพีคสัปดาห์แรกของปีหน้า2554

วันนี้กรอบแนวรับอยู่แถวๆ1025+/-(กรณีแย่สุดก็ลงมาปิดGapแถวๆ1018-1020แล้วก็จะขึ้นอยู่ดี) แนวต้านวันนี้แถวๆ1035จุด หากปิดเขตนี้หรือผ่านก็แปลว่าเริ่มตั้งหลักได้ สัปดาห์หน้าน่าไปตีด่าน1055แตกแล้วrallyส่งท้ายปี

2.SET50น้ำใหม่ของตลาดหุ้น ใครเข้าใครออกและมีผลอย่างไร

ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ในSET50ใหม่ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2554 มีรายชื่อดังนี้ BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA

ส่วนรายที่ให้ออกไปมีรายชื่อดังนี้ BCP, HANA, KSL, PSL, QH, TTA

ทั้งนี้เกณฑ์การให้เข้าออก นอกจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่แล้ว ก็คำนึงเรื่องสภาพคล่องและปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดเป็นหลัก

ผลประโยชน์ที่หุ้นเข้าใหม่จะได้รับคือ จะทำให้นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนรายที่ออกก็อาจทำให้ได้รับความสนใจจากกองทุนและต่างชาติน้อยลง(แต่ก็ไม่จำเป็นนัก เช่นช่วงนี้มีแรงซื้อBCPหนาแน่น ทั้งที่ออกจากSET50 แต่ตอนอยู่SET50มาเป็นปี แทบจะไม่เคลื่อนไหวเลย)

โบรกเกอร์ASPให้BTSเด่นที่สุดในหุ้นเข้าSET50ใหม่ ให้เป้าหมายราคาพื้นฐาน1.26บาท SSI1.76บาท KKให้เป้าหมาย54บาท

เราแนะนำให้ซื้อBTS โดยเฉพาะหากผ่านด่านแนวต้านรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง เขต0.83-0.85น่าจะไปได้ไกลในระยะกลาง คือเป้าหมายราวๆ1.20-1.30บาท(รายละเอียด ขอให้ท่านสมาชิกอ่านในกระทิงทองส่องหุ้นที่ลงมาหลายวันแล้ว)

3.SET50 ลบล้างภาพเชิงลบจากรูปแบบหัวบ่าดอยแล้ว จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่ลุ้นnew highเกิน735 เป้า750หรือ780 แนวรับช่วงนี้725-720 ต้านแรก728-732จุด ต้านหลัก735 ฐานรับช่วงนี้718-715,710จุด


แนวโน้ม-ยังคงมีสัญญาณซื้อว่าจะเป็นขาขึ้นในmodified stochasticsก็น่าฟันธงว่าจะเป็นทางขึ้นมากกว่า และยังมีroomขึ้นอีกไกล คาดหวังว่าน่าจะมีนิวไฮเกินพีคเดิม735 โดยมีโอกาสขึ้นไปนิวไฮ750กระทั่ง780จุด จึงควรเน้นทางซื้อมากกว่า

วันนี้หรือช่วงนี้มีแนวรับเขต718-715 หากยืนได้จะขึ้นไปแนวต้านแรก722-725 ถัดไป730และ แนวต้านหลักพีคเดิม735จุด หากผ่าน(น่าจะเป็นWEEKหน้า)ก็จะขึ้นไปนิวไฮเขต750และหรือ780จุด

แต่หากยืนเขต718-715ไม่ได้ ก็อาจลงไปแนวรับถัดไปซึ่งเป็นแนวรับหลักบริเวณ710จุด+/- แล้วค่อยฟื้นตัว

กลยุทธ์-ช่วงที่ผ่านมาแนะนำว่า เมื่อลงไปรอบที่ผ่านมาให้จับตามองหากยืนเหนือแนวรับเขต680ได้ให้ซื้อ และเล่นอิงทางขึ้น หากติดสถานะขายไว้ก็ควรหาจังหวะstop lossแล้วมาอยู่ทางซื้อ แล้วถือทดสอบด่านต่างๆ และจุดสำคัญคือพีคเก่า735 และน่ามีนิวไฮเขต750 เป้าหมายใหญ่รอบนี้780

*คำแนะนำ-ซื้อเขตแนวรับ718-715หรือ710จุด+/- และถือทดสอบแนวต้านต่างๆ ไม่น่าเล่นทางลง เพราะเป็นไปได้ว่าสัปดาห์หน้าน่าจะขึ้น

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 10 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คัมภีร์หุ้นไทย(16ธ.ค.):โปรโมชั่นส่งท้ายปี เป็นโอกาสดีที่จะซื้อADVANCช่วงมีข่าวร้าย-ผู้จัดการกองทุนฝรั่งขายหุ้นเพื่อกลับบ้านพักผ่อนคริสมาสต์ ปีหน้ากำไร


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
**********
*ADVANCวิกฤตจากข่าวที่คลุมเครือเป็นโอกาสช้อนซื้อรับปันผลงาม

สถานการณ์+แนวโน้ม-มีรายงานข่าวที่ยังคลุมเครือว่าTOTจะฟ้องADVANCให้จ่ายชดเชยค่าเสียหายเรื่องส่วนแบ่ง รวม7.5หมื่นล้านบาท อันเป็นผลพวงจากผลตัดสินยึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะฟ้องจริงไหม แต่บล.ฟินันเซียไซรัสได้หั่นราคาเป้าหมายลงจาก104บาทเหลือ95บาท ในกรณีเลวร้ายสุดว่าต้องชดเชยจริง

ทิศทางเทคนิค+แนวโน้ม-ที่ผ่านมาหุ้นADVANCแกว่งตัวสร้างฐานเหนือแนวรับสำคัญ89บาทมาได้นาน หากยืนได้ก็ไม่มีปัญหา แต่หากหลุด89ก็เสี่ยงลงไปเขต85บาท+/- และหากหลุด85ก็อาจลงไปลึกๆแถว81บาท กระทั่ง77.50บาท

คำแนะนำ-จับตามองว่ายืนเหนือ89ได้หรือไม่ หากไม่ได้อาจขายลดความเสี่ยง แล้วไปรอช้อนซื้อเขต85บาท+/- เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะได้รับผลกระทบจากข่าวเชิงลบที่จำกัด ขณะที่หุ้นมีการจ่ายปันผลงามเกินระดับ10% อาจซื้อไว้รอรับทั้งปันผล และหวังcapital gainที่มีโอกาสฟื้นตัวกลับไปเขต95-100บาทในระยะเป็นเดือน หรือหลายเดือนนับจากนี้

1.แนวโน้มข้างหน้า Santa’gift +Year end Rally และพีคในJanuary effect สูตรสำเร็จ3ช่วงกับการลงทุน ตามสูตรแล้วจะมีnew highเกิน1055จุด ไปเป้าหมาย1100-1130 ฐานช่วงนี้1025+/-


ทิศทางแนวโน้ม-ผมยังนำกรอบความคิดเดิมเรื่อง”พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”เป็นกรอบความคิดหลักในการมองแนวโน้มตลาดหุ้นในรอบนี้ และเรื่องอื่นๆ ดังนี้

1.1กรอบแนวคิดเรื่องวิกฤตเป็นโอกาสของตลาดหุ้น –กล่าวคือเมื่อเกิดวิกฤตใดๆ ตลาดหุ้นจะมีผลกระทบ 3 ช่วง ช่วงแรกลงแรง ,ช่วงสองซึมรอความชัดเจน ,ช่วงสามขึ้น และมักจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(นิวไฮ)

วิกฤตหนล่าสุดคือวิกฤตคดียุบพรรค ทั้งคดี29ลเนและคดี258ล้านจบไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงระยะที่สาม จึงเชื่อได้ว่าน่าจะมีโอกาสทำนิวไฮกว่าพีคเดิม1055จุดที่เคยทำเอาไว้

1.2กรอบแนวคิดเรื่องเงินLTFเข้าในปลายเดือนธันวาคม-คนไทยชอบทำอะไรนาทีสุดท้าย เงินลงทุนLTFจะมาหนุนตลาดหุ้นในช่วงท้ายๆ(กองทุนนี้มักซื้อหุ้นในSET50ก็ให้ลองดูชื่อหุ้นในSET50นะครับ) และจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นวิ่งในช่วงท้ายปี

1.3กรอบแนวคิดเรื่องSanta’gift+Year end rally+Crismast gift และพีคในJanuary effect-ในช่วงท้ายปีต่อเนื่องถึงสัปดาห์แรกของปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยมักวิ่งแรง เลยเรียกกันว่าเป็นของขวัญจากซานต้า ช่วงคริสมาสต์ และวิ่งส่งท้ายปี และมักวิ่งแรงในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ที่เรียกกันว่าJanuary effect

ผมคาดว่าปีนี้ก็จะเป็นแบบนี้คือตลาดน่าจะวิ่งขึ้นทำnew highเกินด่าน1055เป้าหมายน่าจะเป็น1100-1130จุด แล้วก็ไปพีคยอดดอยในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2554 เผลอๆจะเป็นวันจันทร์ที่3หรืออังคารที่4มกราคม แล้วก็ลงปรับฐานแรงๆ

Note:อย่างไรก็ตามมักปรากฎว่าก่อนช่วงคริสมาสต์ทุกๆปีต่างชาติมักขายหุ้นไทย เนื่องจากผู้จัดการกองทุนต่างชาติมักขายหุ้นปิดงบสิ้นปี ก่อนกลับบ้านพักร้อนยาวคริสมาสต์ กลับมาซื้ออีกทีตอนต้นปี

ดังนั้นหุ้นช่วงก่อนคริสมาสต์มักซึม หรือซึมลง ซึ่งก็จะมีกรอบฐานรับบริเวณ1025จุด หรือกล่าวง่ายๆว่าแกว่งในกรอบ1025-1055 พอสัปดาห์หน้าเมื่อฝรั่งขายกลับพักผ่อนคริสมาสต์จึงจะขึ้น และไปแรงสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ และอาจไปพีคสัปดาห์แรกของปีหน้า2554

2.SET50น้ำใหม่ของตลาดหุ้น ใครเข้าใครออกและมีผลอย่างไร

ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ในSET50ใหม่ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2554 มีรายชื่อดังนี้ BTS, DCC, KK, ROBINS, SSI, STA

ส่วนรายที่ให้ออกไปมีรายชื่อดังนี้ BCP, HANA, KSL, PSL, QH, TTA

ทั้งนี้เกณฑ์การให้เข้าออก นอกจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่แล้ว ก็คำนึงเรื่องสภาพคล่องและปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดเป็นหลัก

ผลประโยชน์ที่หุ้นเข้าใหม่จะได้รับคือ จะทำให้นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนรายที่ออกก็อาจทำให้ได้รับความสนใจจากกองทุนและต่างชาติน้อยลง(แต่ก็ไม่จำเป็นนัก เช่นช่วงนี้มีแรงซื้อBCPหนาแน่น ทั้งที่ออกจากSET50 แต่ตอนอยู่SET50มาเป็นปี แทบจะไม่เคลื่อนไหวเลย)

โบรกเกอร์ASPให้BTSเด่นที่สุดในหุ้นเข้าSET50ใหม่ ให้เป้าหมายราคาพื้นฐาน1.26บาท SSI1.76บาท KKให้เป้าหมาย54บาท

เราแนะนำให้ซื้อBTS โดยเฉพาะหากผ่านด่านแนวต้านรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง เขต0.83-0.85น่าจะไปได้ไกลในระยะกลาง คือเป้าหมายราวๆ1.20-1.30บาท(รายละเอียด ขอให้ท่านสมาชิกอ่านในกระทิงทองส่องหุ้นที่ลงมาหลายวันแล้ว-ท่านผู้อ่านทั่วไปให้สมัครสมาชิกจึงจะเข้าไปอ่านได้)

3.SET50 ลบล้างภาพเชิงลบจากรูปแบบหัวบ่าดอยแล้ว จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่ลุ้นnew highเกิน735 เป้า750หรือ780 แนวรับช่วงนี้725-720 ต้านแรก728-732จุด ต้านหลัก735 ฐานรับช่วงนี้718,710จุด


แนวโน้ม-เกิดสัญญาณซื้อว่าจะเป็นขาขึ้นในmodified stochasticsก็น่าฟันธงว่าจะเป็นทางขึ้นมากกว่า และยังมีroomขึ้นอีกไกล คาดหวังว่าน่าจะมีนิวไฮเกินพีคเดิม735 โดยมีโอกาสขึ้นไปนิวไฮ750กระทั่ง780จุด จึงควรเน้นทางซื้อมากกว่า

วันนี้หรือช่วงนี้มีแนวรับเขต718+/- หากยืนได้จะขึ้นไปแนวต้านแรก726-729 แนวต้านหลักพีคเดิม735จุด หากผ่านก็จะขึ้นไปนิวไฮเขต750และหรือ780จุด

แต่หากยืนเขต718ไม่ได้ ก็อาจลงไปแนวรับถัดไปซึ่งเป็นแนวรับหลักบริเวณ710จุด+/-

กลยุทธ์-ช่วงที่ผ่านมาแนะนำว่า เมื่อลงไปรอบที่ผ่านมาให้จับตามองหากยืนเหนือแนวรับเขต680ได้ให้ซื้อ และเล่นอิงทางขึ้น หากติดสถานะขายไว้ก็ควรหาจังหวะstop lossแล้วมาอยู่ทางซื้อ แล้วถือทดสอบด่านต่างๆ และจุดสำคัญคือพีคเก่า735 และน่ามีนิวไฮเขต750 เป้าหมายใหญ่รอบนี้780

*คำแนะนำ-ซื้อเขตแนวรับ718หรือ710จุด+/- และถือทดสอบแนวต้านต่างๆ


**********

เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กระทิงทองส่องหุ้น(14ธ.ค.):IRPCพื้นฐานเปลี่ยน ฝรั่งปรับเป้าไปอีกไกล/BTS+TMBรอผ่านอุปสรรคขวากหนามแล้วค่อยไปแรง


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
**********


1.โบรกเกอร์ฝรั่งเพิ่มเป้าหมายIRPCจาก5.90เป็น8บาท

สถานการณ์และแนวโน้ม-โบรกเกอร์RBS หรือThe Royal Bank of Scotlandปรับราค่าเป้าหมายขึ้นจากเดิม5.90เป็น8บาท โดยเชื่อว่ากำไรจะดีขึ้นในช่วง4ปีข้างหน้า หลังการขยายกำลังการผลิต ราคาตอนนี้ยังถูกที่สุดในบรรดาหุ้นที่RBSทำวิจัยศึกษาอยู่

ทางเทคนิค-ราคาขึ้นผ่านแนวต้านรูปแบบหัวบ่าเขต5บาท คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นไปแนวต้านถัดไป6บาท+/- ถัดไประยะกลาง7.50-8บาท

คำแนะนำ-follow buyเมื่อยืนเหนือ5บาทมั่นคง หรือรอช้อนซื้อช่วงพักตัวลงมาเขต5.35-5.20บาท


2.แม้SCCขายหุ้นPTTCHทิ้ง แต่จะเปิดช่องให้มีการควบรวมกิจการPTTCH+PTTARโล่งขึ้น คาดควบรวมเสร็จกลางปี54 หลังปูนใหญ่ยื้อมานาน โบรกให้ราคาพื้นฐาน202-208บาท แนะนำซื้อแถว140-144บาท แล้วถือ

สถานการณ์-สัปดาห์ก่อนปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า SCC ได้ทำการเสนอขายหุ้นสามัญในบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH) จำนวน 236,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 15.59 ของทุนชำระแล้ว ที่ราคา 140 บาทต่อหุ้น ให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในวงจำกัด

ปูนซิเมนต์ไทยให้เหตุผลในการขายหุ้นครั้งนี้ว่า เนื่องจากบริษัทSCCเป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่มีอำนาจในการมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับ และนโยบาย และการบริหารงานในPTTC ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของSCC

ทั้งนี้SCCถือหุ้นในPTTCHราว20% ขณะที่บริษัท ปตท. จำกัดมหาชน-PTTถือหุ้นใหญ่ราว49% ที่ผ่านมาPTTต้องการให้PTTCHควบรวมกิจการกับบริษัทPTTAR ที่เป็นบริษัทในเครืออีกราย แต่แผนการได้ล่าช้ามานานกว่า 2 ปี เนื่องจากSCCไม่เห็นด้วย

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)วิเคราะห์ว่าที่SCCต้องขายPTTCHก็เพราะไม่เห็นด้วยกับแผนการควบรวมกิจการดังกล่าว และอาจไม่มีความใจเป็นในการซื้อเอทธิลีนจากPTTCHแล้ว หลังจากโรงงานใหม่ของเครือSCCที่ผลิตเอทธิลีนเช่นกันเดินเครื่องแล้ว

"แต่เรายังสงสัยว่าSCCจะทำอย่างไรกับเงินสดส่วนเกินตั้ง50,000ล้านบาท หลังจากที่ได้เงินเพิ่มจากการขายหุ้นครั้งนี้"ฝ่ายวิจัยบัวหลวงกล่าว จึงเชื่อว่าอาจมีการนำเงินไปซื้อหุ้นTPCเพิ่ม

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)วิเคราะห์ว่า สาเหตุการขายครั้งนี้อาจเป็นเพราะ

1) ราคาหุ้นปัจจุบันของ PTTCH ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นได้ราคาค่อนข้างดี

2) อาจขายเพื่อนำเงินไปขยายการลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีในเวียดนามหรืออาจซื้อหุ้นเพิ่มใน TPC

3) เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลดสัดส่วนการถือหุ้น หาก PTTCH และ PTTAR ควบรวมกิจการกันจริง

ฝ่ายวิจัยบล.พัฒนสินให้ความเห็นว่า อย่างไรก็ตาม มูลค่า 2011F ราคาเป้าหมายปัจจุบันของเราสำหรับ PTTCH (202 บาท/หุ้น) และยังไม่ได้รวมผลบวก หรือ synergy benefits ที่จะได้จากการควบรวมกิจการกันกับPTTAR(ราคาเป้าหมาย43บาท) จึงแนะนำซื้อช่วงมีข่าวการขายหุ้นบิ๊กล็อตครั้งนี้

ส่วนบล.คันทรี่กรุ๊ปแนะนำซื้อเช่นกัน โดยให้เป้าหมาย208บาท

แนวโน้ม-สามารถยืนเหนือกรอบแนวรับทางเทคนิคด่าน140-144บาทได้ ล่าสุดฟื้นตัวขึ้นไปเขตแนวต้านGap resistance153บาท วานนี้พบแรงขายทำกำไรอ่อนลงปิดที่150บาท

คาดว่า น่าจะอ่อนลงมาเขตแนวรับ148บาท+/- ก่อนจะฟื้นตัวไปปิดแก็ปบริเวณ153.50 และหากผ่านก็จะไปเป้าหมายถัดไปในระยะต่อไปด่าน160+/-

แนะนำ-ซื้อช่วงมีข่าวกดดันทางลบจากการที่SCCขายหุ้นบิ๊กล็อตที่เขตแนวรับ

3.PTTARทดสอบแนวต้านเทคนิค40บาท หากไม่ผ่านอาจขายทำกำไร ยกเว้นผ่านยังถือต่อได้

สถานการณ์และแนวโน้ม-ที่ผ่านมาเราแนะนำให้เข้าซื้อเขต26บาท และให้เป้าหมายจะขึ้นมาเขต40บาท ล่าสุดขึ้นมาใกล้แนวต้านหลักบริเวณ40บาท
ซึ่งด่านนี้ถือเป็นแนวต้านที่มีนัยสำคัญ แต่ก็ต้องดูว่าหลังจากSCCขายPTTCHแล้ว จะทำให้PTTที่เป็นแม่ นำPTTARควบรวมกิจการกับPTTCHคล่องตัวขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยบวกต่อPTTARเช่นกัน

ข้อพิจารณาจึงให้ดูว่าภายในสัปดาห์นี้จะผ่านด่าน40หรือไม่ เพราะหากผ่านก็อาจแกว่งrallyต่อเนื่องขึ้นไปเขต50บาทได้ต่อไป แต่หากไม่ผ่านก็อาจเกิดการตกปรับฐานลงไปเขต38บาทได้

คำแนะนำ-จับตามองในสัปดาห์นี้จะผ่านด่าน40บาทได้หรือไม่ หากไม่ได้น่าขาสยทำกำไรซักรอบ แต่หากผ่านค่อยถือต่อ(จึงอาจดูไปซักระยะ หรือตลอดสัปดาห์นี้)

4.BBLข้อต่อแนวโน้มสำคัญ145บาท+/- เมื่อยืนได้มีลุ้นขึ้น น่าช้อนซื้อ และหากผ่านด่าน155จะไปต่อแรง กรณีไม่ผ่านอาจพักยกก่อน ช่วงนี้แนวรับ150+/- โบรกฝรั่งเชียร์ถูกกว่าKBANK SCBอยู่ราว17%

แนวโน้ม-รอบที่ผ่านมาขึ้นไปสูงสุดที่162แล้วตกต่อเนื่องลงลึกถึง142.50แล้วฟื้นตัวเมื่อวานชนแนวต้านเขต155.50ไม่ผ่าน พบแรงขายทำกำไรสลับลงมาปิด147.50บาท

มีเขตข้อต่อสำคัญแนวโน้มคือ145บาท+/-(143.50-145บาทโดยประมาณ) และเป็นแนวรับรูปแบบbullish flag เมื่อยืนได้จะกลับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านdowntrend~155 โดยหากผ่านแนวต้านรูปแบบbullish flagระยะต่อไปอาจขึ้นไปพีคเดิม162หรือnew highเขต170-180บาท

โบรกเกอร์ฝรั่งได้ออกบทวิจัยแนะนำซื้อ โดยให้เหตุผลว่าเป็นแบงก์ที่อาจดีที่สุด แต่ราคาซื้อขายยังถูกกว่าSCB KBANKราว17%เมื่อพิจารณาจากค่าP/E

คำแนะนำ-ถือหรือซื้อหากยืนเขต143-145ได้ และดูว่าจะผ่านด่านแรก155บาทหรือไม่ หากผ่านก็ถือทดสอบแนวต้านด่านต่างๆ หรือขายหากไม่ผ่าน155ในระยะเป็นสัปดาห์ แล้วมารับกลับเขต147-150บาท(แต่หากหลุดด่าน143ควรขายเอาทุน)

แต่เมื่อพิจารณาว่าเพิ่งเกิดสัญญาณซื้อในstochasticsก็ควรคาดว่าย้งมีroom หรือช่วงของขาขึ้นในรอบนี้อีกไกล เมื่อชนด่าน155ไม่ผ่านอาจอ่อนลงมาเขต150บาท+/- แล้วฟอร์มตัวขึ้นใหม่

5.TMBแกว่งทดสอบแนวต้านรูปแบบBullish flagแนวรับ2.20ต้าน2.30หากผ่าน2.30จะไปแรง

สถานการณ์และแนวโน้ม-กำลังทดสอบแนวต้านรูปแบบธง โดยมีกรอบแนวรับเขต2.20แนวต้านเขต2.30 หากผ่านด่าน2.30มั่นคงมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นไปพีคเก่า2.78หรือทำนิวไฮไปเขต3บาท+/-ในระยะกลางได้

แนะนำ-ซื้อที่แนวรับ หรือfollow buyหากผ่านแนวต้านได้มั่นคง+วอลุมหนาแน่น

6.TCC แนวต้านเป้าหมายแรก3.56-3.60บาท หากไม่ผ่านน่าขายทำกำไรซักรอบ

แนวโน้ม-รอบที่ผ่านมาแนะนำซื้อแถวต่ำกว่า2บาท หุ้นปรับตัวขึ้นขานรับปัจจัยพื้นฐานที่กลับมาฟื้นตัว ล่าสุดปิดที่3.48บาท

หากช่วงนี้นี้ยืนเหนือด่าน3.34บาท จะน่าถือต่อ(แนวรับวันนี้3.30-3.34) เพราะมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นไปเขต3.56-3.60บาท

แนวโน้มระยะกลางหากผ่านเขต3.50จะไปเขต4.00-4.50บาท(แต่ให้ติดตามความก้าวหน้าการฟื้นตัวทางพื้นฐานประกอบตามที่เคยแจ้งไปนับแต่แรกที่แนะนำเข้าซื้อแถวๆต่ำกว่า2บาทประกอบด้วยนะครับ)

คำแนะนำ-รอขายทำกำไรเขต3.56-3.60บาท หากขึ้นไม่ผ่านด่านนี้ และรอซื้อคืนเขตแนวรับ หรือหากผ่านด่านนี้ก็อาจถือต่อทดสอบแนวต้านเป้าหมายใหญ่4.00-4.60บาทในระยะกลาง

7.BTS ซื้อลุ้นเข้าSET50จะทำให้สถาบัน-ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น แต่ต้องลุ้นผ่าน0.83-0.85จึงจะวิ่งแรง



สถานการณ์และแนวโน้ม-คาดการณ์ว่าจะได้เข้ามาอยู่ในSET50ในวันที่3มกราคมนี้ จะทำให้นักลงทุนประเภทสถาบันและต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นได้มากขึ้น ขณะที่บล.เอเชียพลัสให้ราคาเป้าหมายพื้นฐานไว้ที่1.26บาท

ส่วนทางเทคนิคซึมตัวในรูปแบบflagโดยมีกรอบแนวต้านบนด่าน0.85บาท+/- ซึ่งหากผ่านได้เด็ดขาดและมีวอลุมหนาแน่น จะทำให้โอกาสระยะกลางปรัยตัวขึ้นไปโดยมีเป้าหมายระยะกลางบริเวณ1.20บาท+/-

คำแนะนำ-ซื้อสะสมเขตแนวรับ0.80+/- หรือรอfollow buyหากผ่านด่าน0.85บาท ด้วยวอลุมหนาแน่น


**********

เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ

คัมภีร์หุ้นไทย(14ธ.ค.):ผู้จัดการกองทุนฝรั่งขายปิดงบ กลับบ้านช่วงคริสมาสต์ ตลาดอาจซึม ก่อนจะไปวิ่งแรงทำนิวไฮช่วงก่อนสิ้นปี ยังคาดไปพีคขต1100-1130ปีใหม่



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com
**********

1.คาดFEDคงดอกเบี้ยไว้ ดอลลาร์ตกเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น,ผู้จัดการกองทุนฝรั่งขายปิดงบสิ้นปีก่อนหยุดยาวคริสมาสต์ อาจทำให้ตลาดซึมก่อนคริสมาสต์

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้เปิดขึ้นไปใกล้1045จุด แล้วพบแรงขายทำกำไรลงมาปิดเขตโลว์แถว1033จุด โดยต่างชาติขายสุทธิออกมาเล็กน้อย-184ล้านบาท

ปัจจัยที่ตลาดให้ความสนใจ

*FEDจัดประชุมวันนี้ คาดจะคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม แต่นักลงทุนสนใจท้ายแถลงการณ์ว่า หลังอัดฉีดเม็ดเงินQE2เข้าระบบแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง

ขณะที่ดาวโจนส์เมื่อคืนนี้ปิดบวกเล็กน้อย+18จุด(+0.16%)

ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ตกลงมาเขต79.42จุด เช้านี้ยังลงมาเขต79.35จุด

ซึ่งการที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ตกแรงจะกลับไปเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

*นักลงทุนต่างชาติหยุดซื้อ และขายออกมาเล็กน้อยวานนี้-184ล้านบาท...โดยปกติผู้จัดการกองทุนฝรั่งมักจะขายหุ้นปิดงบสิ้นปีช่วงนี้ของทุกปี ก่อนจะกลับไปพักผ่อนยาวช่วงเทศกาลคริสมาสต์ในอเมริกา หรือยุโรป

โดยปกติช่วงนี้ของทุกปี ตลาดหุ้นจึงมักซึมตัวออกด้านข้าง แต่พอเข้าช่วงคริสมาต์หุ้นมักเริ่มขึ้น ที่เรียกกันว่าเป็นSanta’gift และยาวไปช่วงสิ้นปี ต่อต้นปีใหม่

2.แนวโน้มข้างหน้า Santa’gift +Year end Rally และพีคในJanuary effect สูตรสำเร็จ3ช่วงกับการลงทุน ตามสูตรแล้วจะมีnew highเกิน1055จุด ไปเป้าหมาย1100-1130 โดยมีเรื่องค่าเงินเป็นปัจจัยเฝ้าระวัง

ทิศทางแนวโน้ม-ผมยังนำกรอบความคิดเดิมเรื่อง”พลิกวิกฤตเป็นโอกาส”เป็นกรอบความคิดหลักในการมองแนวโน้มตลาดหุ้นในรอบนี้ และเรื่องอื่นๆ ดังนี้

2.1กรอบแนวคิดเรื่องวิกฤตเป็นโอกาสของตลาดหุ้น –กล่าวคือเมื่อเกิดวิกฤตใดๆ ตลาดหุ้นจะมีผลกระทบ 3 ช่วง ช่วงแรกลงแรง ,ช่วงสองซึมรอความชัดเจน ,ช่วงสามขึ้น และมักจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่(นิวไฮ)

วิกฤตหนล่าสุดคือวิกฤตคดียุบพรรค ทั้งคดี29ลเนและคดี258ล้านจบไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงระยะที่สาม จึงเชื่อได้ว่าน่าจะมีโอกาสทำนิวไฮกว่าพีคเดิม1055จุดที่เคยทำเอาไว้

2.2กรอบแนวคิดเรื่องเงินLTFเข้าในปลายเดือนธันวาคม-คนไทยชอบทำอะไรนาทีสุดท้าย เงินลงทุนLTFจะมาหนุนตลาดหุ้นในช่วงท้ายๆ(กองทุนนี้มักซื้อหุ้นในSET50ก็ให้ลองดูชื่อหุ้นในSET50นะครับ) และจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นวิ่งในช่วงท้ายปี

2.3กรอบแนวคิดเรื่องSanta’gift+Year end rally+Crismast gift และพีคในJanuary effect-ในช่วงท้ายปีต่อเนื่องถึงสัปดาห์แรกของปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยมักวิ่งแรง เลยเรียกกันว่าเป็นของขวัญจากซานต้า ช่วงคริสมาสต์ และวิ่งส่งท้ายปี และมักวิ่งแรงในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ที่เรียกกันว่าJanuary effect

ผมคาดว่าปีนี้ก็จะเป็นแบบนี้คือตลาดน่าจะวิ่งขึ้นทำnew highเกินด่าน1055เป้าหมายน่าจะเป็น1100-1130จุด แล้วก็ไปพีคยอดดอยในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2554 เผลอๆจะเป็นวันจันทร์ที่3หรืออังคารที่4มกราคม แล้วก็ลงปรับฐานแรงๆ

3.SET มีลุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หากยืนเหนือเขต1025-1030ช่วงนี้ได้ โดยมีโอกาสขึ้นทำนิวไฮเขต1100-1130จุด

ชาร์ตที่3 SET ที่ผ่านมาได้ฟอร์มตัวเป็นรูปแบบหัวไหล่ดอย(Head & shoulders top) โดยจุดตัดสินสำคัญคือ เมื่อยืนเหนือ978จุดได้ตามที่ให้ข้อสังเกต แล้วฟื้นตัวขึ้น ก็ลุ้นสัปดาห์นี้ขึ้นไปปิดเหนือเขต1026-1030ในสัปดาห์นี้ ก็จะไปทดสอบแนวต้านแรกเขต1042จุด หากผ่านก็จะชึ้นไปเขตพีคเดิม1055 ในสัปดาห์นี้ และจากนั้นมีโอกาสไปทำนิวไฮเขต1100-1130 อาจเป็นภายในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2554

-โดยหากผ่านด่าน1055ที่เป็นพีคเดิม จะขึ้นไปด่านแรกๆคือ1085+/- ถัดไป1100+/-แ,ะเป้าหมายใหญ่1130+/-

ข้อพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้

*กลยุทธ์สำคัญ-เมื่อSET ขึ้นมาผ่านเขต1025-1030 ในสัปดาห์นี้จะยืนยันว่าการลงไปเขต978ในช่วง3สัปดาห์ก่อนนั้น ทำการลงไปจบปรับฐานเรียบร้อยแล้ว โดยจะปรับตัวในแนวโน้มขาขึ้น(uptrend)ต่อไป (ตามด่านต่างๆคือ1055พีคเก่า และคาดว่าผ่านจะไปเป้าหมาย1100-1130จุด) กรณี้นี้ให้ถือ หรือซื้อหุ้น(แนะนำหุ้นเด่นคือแบงก์BBL SCB TMB PTTCH นอกจากนั้นเป็นพวกที่เทคนิคสวยเช่นBTS CPF GFPT ท่านสมาชิกดูรายละเอียดในกระทิงทองส่องหุ้น)

แต่หากยืนเหนือด่าน1025-1030 หรือวกลงปิดต่ำกว่า1015นี้ ให้คาดการณ์ในแง่ร้ายไว้ก่อนว่ามีโอกาสลง

*Note-วันนี้มีกรอบแนวรับ1025-1030จุด หากยืนได้ จะทดสอบแนวต้านแรก1042-1045จุด และหากผ่านก็จะไปป้ายหน้าไปพีคเดิม1055และควรคาดว่าจะมีnew highขึ้นไป1100-1130 เนื่องจากเกิดสัญญาณซื้อในเครื่องมือเทคนิคคือmodified stochastics แสดงว่ามีroomให้ขึ้นอีกมาก น่าจะฟันธงไปในทางที่ว่า ตลาดได้ลบล้างโครงสร้างเชิงลรูปแบบหัวบ่าดอยไปแล้ว ก็ต้องคาดการณ์ว่ารอบนี้จะทำnew highเกิน1055เป้าหมายไป1100-1130ค่อนข้างสูง จึงแนะนำซื้อหรือถือหุ้นเด่นที่แนะนำ(ดูในบทความกระทิงทองส่องหุ้น)

4.SET50 ลบล้างภาพเชิงลบจากรูปแบบหัวบ่าดอยแล้ว จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่ลุ้นnew highเกิน735 เป้า750หรือ780 แนวรับช่วงนี้725-720 ต้านแรก728-732จุด ต้านหลัก735


แนวโน้ม-เกิดสัญญาณซื้อว่าจะเป็นขาขึ้นในmodified stochasticsก็น่าฟันธงว่าจะเป็นทางขึ้นมากกว่า และยังมีroomขึ้นอีกไกล คาดหวังว่าน่าจะมีนิวไฮเกินพีคเดิม735 โดยมีโอกาสขึ้นไปนิวไฮ750กระทั่ง780จุด จึงควรเน้นทางซื้อมากกว่า

วันนี้หรือช่วงนี้มีแนวรับเขต718จุด หากยืนได้จะขึ้นไปแนวต้านแรก726-729 แนวต้านหลักพีคเดิม735จุด หากผ่านก็จะขึ้นไปนิวไฮเขต750และหรือ780จุด

แต่หากยืนเขต718ไม่ได้ ก็อาจลงไปแนวรับถัดไปซึ่งเป็นแนวรับหลักบริเวณ710จุด+/-

กลยุทธ์-ช่วงที่ผ่านมาแนะนำว่า เมื่อลงไปรอบที่ผ่านมาให้จับตามองหากยืนเหนือแนวรับเขต680ได้ให้ซื้อ และเล่นอิงทางขึ้น หากติดสถานะขายไว้ก็ควรหาจังหวะstop lossแล้วมาอยู่ทางซื้อ แล้วถือทดสอบด่านต่างๆ และจุดสำคัญคือพีคเก่า735 และน่ามีนิวไฮเขต750 เป้าหมายใหญ่รอบนี้780

*คำแนะนำ-ซื้อเขตแนวรับ718หรือ710จุด+/- และถือทดสอบแนวต้านต่างๆ

**********

เกี่ยวกับผู้เขียน

-ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 www.tontancorp.com ติดตามชมรายการเพื่อนนักลงทุนทางTNN24(UBC7)จันทร์-ศุกร์ 13.10-13.30
-ประธานกรรมการ บริษัทหลักรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เพื่อนนักลงทุน TNN24
-มหาบัณฑิตด้านการจัดการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน NIDA
-ประกาศนียบัตรสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตร ปปร.รุ่น10,ปรม.รุ่น3และปศส.รุ่น1
-ผู้เขียนหนังสือทีเด็ดรวยหุ้นพันล้าน(พิมพ์10ครั้งในปี2546)


*******************
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามบทความนี้ อ่านชาร์ตประกอบ และรับหุ้นเด่น ก่อนเปิดตลาดทุกเช้า ที่ http://www.tontancorp.com/ สอบถามสมัครสมาชิก โทร.02-9275800

*********

อบรมเล่นหุ้นให้รวยอย่างไรปีใหม่2554


-อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นปี54จากมกราคม-ธันวาคม2554เป็นรายเดือนว่าจะไปทางไหน ขึ้นเท่าไหร่ ตกเท่าไหร่
-ฟันธงกลุ่มเด่น หุ้นพื้นฐานดีมีปันผลงาม หุ้นร้อนมาแรง หุ้นตัวไหนม้ามืดเข้าแล้วรวย
-ฟันธงแนวโน้มทิศทางSET50 FUTURESจะเล่นขาขึ้นหรือขาลง ได้กำไรทั้งสองทาง
-เปิดกลเม็ดอภิมหาเศรษฐีหุ้นวอร์เรนบัฟเฟตต์ที่คุณก็เลียนแบบความสำเร็จระดับโลกได้ด้วยสูตรเฉพาะตัว ง่ายแต่รวย ไม่ยากอย่างที่คิด
-สอนดูกราฟตั้งแต่ไม่เป็น ไปจนขั้นเทพให้คุณเข้าออกได้แม่นเหมือนจับวาง หมดปัญหาขายหมู ติดดอย เข้าผิดตัว ได้ความรู้ไปใช้ตลอดชีวิตได้เปรียบกว่าใคร
-เป็นการบรรยายแบบฟันธง และพาทำเวิร์คช็อป คือหัดสอนอบรมลงมือทำจนนำไปใช้งานได้จริงๆ รับประกันผลงานโดยลูกศิษย์ที่เรียนมาแล้วใช้ได้ผลดีเยี่ยม 36 รุ่นมาแล้ว

-แถมหนังสือคู่มือรวยหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยอย่างไรในปี2554เฉพาะผู้มางานนี้
-วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553/09.00-17.00น. ที่ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด

-โทรสำรองที่นั่งจำกัดเพียง 20 ท่าน(มีคนจองก่อนประชาสัมพันธ์แล้วครึ่งห้อง) 02-9275800 โทรมือถือ