วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปิดโผ10หุ้นที่คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีนี้มีอัตราปันผลสูงสุด

รายชื่อหุ้น 10 อันดับแรกที่จะมีการปันผลดีประจำสิ้นปีนี้ ระหว่าง4.09-8.56%

การที่ตลาดหุ้นตกลงมาหนักๆนั้น ในด้านกลับก็ทำให้อัตราการจ่ายปันผลต่อหุ้น(Dividen Yield)สูงขึ้นไปด้วย ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์หุ้นที่คาดว่าจะมี อัตราการจ่ายปันผลต่อหุ้นสูง ณ สิ้นปีนี้


หมายเหตุ:เป็นการประเมินและเผยแพร่ของบล.พัฒนสินครับ 

ส่วนตารางต่อไปนี้เป็นของของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไทยครับ(ที่มา:http://www.settrade.com/AnalystConsensus/CompareData.jsp?selectPage=10)

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์:13เรื่องของนักวิเคราะห์ที่คุณไม่รู้



1.นักวิเคราะห์หุ้นมี3ประเภทคือ

-ประเภทแรกที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์
-ประเภทที่สองใช้สถิติปริมาณในการวิเคราะห์
-ประเภทที่่3ใช้ชาร์ตในการวิเคราะห์
-(แถมท้ายประเภทที่4ใช้ทั้ง3แบบรวมกัน และเรียกตัวเองว่านักกลยุทธ์)

2.นักวิเคราะห์ไม่ถูกห้ามให้เล่นหุ้น เพียงแต่ต้องแจ้งในบทรายงานวิเคราะห์ว่าเขา(หรือเธอ)มีการลงทุนในหุ้นตัวนั้นๆอยู่หรือไม่ เพื่อไม่ให้ขัดแย้งทางผลประโยชน์(Conflict of interest)

3.นักวิเคราะห์มักจะทำการวิเคราะห์หุ้นขนาดใหญ่สภาพคล่องซื้อขายมากๆ(เช่นหุ้นในSET50หรือSET100)เป็นหลักก็เนื่องจากว่าบริษัทขอให้วิเคราะห์ตามที่ลูกค้ารายใหญ่(กองทุน ฝรั่ง รายใหญ่มากๆ)ขอมา ส่วนหุ้นเล็กๆหรือขนาดกลางมักไม่ถูกวิเคราะห์

4.นักวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานจะดูผลดำเนินงานย้อนหลัง หรือ ณ งวดนั้นๆที่ประกาศงบออกมา หรือสัมภาษณ์ผู้บริหาร ประมาณการณ์อนาคต โดยวิอเคราะห์อุตสาหกรรม วิเคราะห์ธุรกิจแล้วประเมินมาเป็นราคาปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสม หากราคาในกระดานต่ำกว่าราคาเหมาะสม จะแนะนำให้"ซื้อ" หากราคาในกระดานสูงกว่าจะแนะนำให้"ขาย" หากราคาใกล้กันอาจแนะนำให้"ถือ" ทั้งนี้ไม่ได้สนใจว่า จังหวะเวลานั้นๆควรจะซื้อหรือขายหรือไม่ เพราะไม่อยู่ในขอบข่ายของการวิเคราะห์

5.นักวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือดูชาร์ตเป็นหลัก จะไม่สนใจเรื่องตามข้อที่ 4 แต่พวกเขา(หรือเธอ)จะสนใจว่าจังหวะเวลาสถานการณ์นั้นๆควรเข้าซื้อ หรือถือ หรือขาย และหากซื้อหรือขายแล้วหุ้นมีเป้าหมายจะตกไป หรือขึ้นไปเท่าไหร่ โดยที่ไม่ได้สนใจว่าพื้นฐานหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างไร โดยพวกเขา(หรือเธอ)มีสมมุติฐานว่าราคาหุ้นได้สะท้อนต่อปัจจัยพื้นฐานในอดีต ณ ปัจจุบัน และในอนาคตไว้ในความเคลื่อนไหวของราคาแล้ว

6.นักกลยุทธ์การลงทุนจะนำจุดเด่นของนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน(ตามข้อ4) และนักวิเคราะห์ทางเทคนิค(ตามข้อ5)มาผสมกัน โดยหากเห็นพื้นฐานดีหรือแย่ก็ไปหาจุดซื้อหรือขายด้วยชาร์ตทางเทคนิค และอาจนำข้อมูลข่าวสาร ปัจจัยทั้งภายใน ภายนอกเข้ามาประมวลร่วมด้วย ก่อนกำหนดกลยุทธ์การลงทุน

7.ที่นักวิเคราะห์เขียนหรือพูดว่าหุ้นมีแนวรับหรือแนวต้านเท่าไหร่ แทนที่จะพูดหรือเขียนว่าให้ซื้อหรือขายเท่าไหร่ ก็เพราะแม้นักวิเคราะห์ฺคนนั้นๆจะมีใบอนุญาตจากกลต. แต่การพูดหรือเขียนเผยแพร่ทางสื่อ ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาคมนักวิเคราะห์อีกด้วย หากไม่ได้รับอนุญาตจะแนะันำซื้อหรือขายไม่ได้ ก็เลยต้องบอกเป็นแนวรับ หรือแนวต้านแทน

8.ที่นักวิเคราะหฺ์เขียนรายงานเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้เพื่อทำให้รายงานนั้นดูดี หรือดูว่าเธอหรือเขาเก่งภาษาอังกฤษ แต่เพราะว่ามีลูกค้าชาวต่างประเทศอ่านอยู่้ด้วย (ส่วนลูกค้าคนไทยจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร...ก็อยากอ่านไม่รู้เรื่องเอง อิอิ)

9.นักวิเคราะห์ไม่มีรายได้เป็นค่าคอมมิสชั่น หรือรายได้พิเศษอะไรอื่นจากบริษัทโบรกเกอร์ นอกจากเงินเดือน และโบนัสประจำปีั พวกเขาหรือเํธอจึงไม่ใช่มนุึษย์ทองคำ(แบบพนักงานการตลาด หรือมาร์เก็ตติ้ง) เวลาบริษัทโบรกเกอร์แย่ๆก็มักจะเล็งมาลดเงินเดือนหรือปลดนักวิเคราะห์ก่อนฝ่ายอื่นๆเสมอ ทำให้วงการเสียนักวิเคราะห์ดีๆไปมาก ต้องหนีไปเป็นมาร์ หรือทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนไป

10.นักวิเคราะห์เป็นอาชีำำพเทกระโถนประจำวงการ หากผิดมา มาร์เก็ตติ้งจะบอกว่านักวิเคราะห์ห่วย แต่หากถูกมา มาร์เก็ตติ้งจะได้หน้า ได้ตังค์ ได้หลั่ลล๊ารางวัลพิเศษ..เราจึงเรียกอาชีพนี้อีกอย่างว่านักรับเคราะห์

11.นักวิเคราะห์ไม่เคยผิด แต่เพราะสถานการณ์สภาพแวดล้อมต่างๆเปลี่ยนแปลงไปนอกเหนือการคาดการณ์ ดังนั้นนักวิเคราะห์จึงต้องทบทวนบทวิเคราะห์ใหม่ เป็นปรับเป้าหมายขึ้น หรือปรับเป้าหมายลง เราจึงไม่เคยหรือไม่ค่อยได้ยินคำขอโทษจากนักวิเคราะห์

12.นักวิเคราะห์์หรือสมาคมนักวิเคราะห์ไม่เคยหยิบยกประเด็นที่ถูกนิืนทาว่า"รับงาน"รายใหญ่(ฝรั่ง กองทุน รายใหญ่มากๆ)ในการเชียร์ซื้อเพื่อให้ขาใหญ่ออกของ หรือเชียร์ขายเพื่อให้ขาใหญ่เก็บศพแต่อย่างใด และเสียงนินทาก็มีมาทุกสมัย

สมาคมนักวิเคราะห์จัดการแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการนำบทวิเคราะห์มาเปรียบเทียบ หรือConsensusกัน เพื่อให้นักลงทุนได้พิจารณาเปรียบเทียบอย่างรอบด้านแทน

ตัวอย่างConsensus (อยากดูตัวไหนก็ใส่รายชื่อเข้าไปตรงมุมขวาบนแล้วคลิ้กEnter)
http://www.settrade.com/AnalystConsensus/C04_10_stock_saa_p1.jsp?selectPage=10&txtSymbol=THAI

13.ไม่เคยมีนักวิเคราะห์รายใดได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนเอกของโลกจนพวกเขาได้ชื่อว่ารวยหุ้นติดอันดับโลกแต่อย่างใด...ยกเว้นแต่ว่าพวกเขาเลิกเป็นนักวิเคราะัห์ไปลงทุนเ้ิอง

ดังกรณีของปีเตอร์ ลินซ์ (PETER LYNCH)

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หุ้นไทยภาคบ่าย28สิงหาคม ฟื้นไข้ เด้งรับข่าวกลต.แก้หุ้นตกดึงทุึนญี่ปุ่นตั้งThailandFundช้อนซื้อหุ้น

ภาพ:แฟ้มภาพ ดร.วรพล เลขาธิการกลต. กับณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์

หุ้นไทยภาคบ่ายวันนี้ฟื้นตัวขึ้น หลังจากร่วงหนักลงไปที่1260 จุดในภาคเช้า

ข่าวกรุงเทพธุรกิจ หนุนบลจ.ตั้ง'ไทยแลนด์ฟันด์'ดึงเงินญี่ปุ่น

"วรพล"นัดผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ หารือสถานการณ์ตลาดหุ้น 30 ส.ค.นี้ หนุนบลจ.ไทยตั้ง "กองทุนไทยแลนด์ฟันด์" ดึงนักลงทุนญี่ปุ่นเข้าลงทุน

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า วันที่ 30 ส.ค.นี้ ก.ล.ต. จะมีการประชุมหารือกับตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยถึงสาเหตุของการปรับตัวลดลงว่าเกิดจากปัจจัยอะไร ซึ่งหากประเมินสถานการณ์แล้วพบว่าเป็นปัจจัยปกติก็จะไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด แต่ก็จะมีการติดตามและเฝ้าดูเป็นระยะ ซึ่งการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมประจำเดือนระหว่างก.ล.ต. และตลท.อยู่แล้ว

โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก.ล..ต ได้มีการประชุมประจำไตรมาสกับทางสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อรับทราบข้อมูลจาก 2 หน่วยงาน และที่ผ่านมาก.ล.ต. ได้มีการตรวจสถานะของบล. ซึ่งพบว่าทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (NCR) ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และตรวจสอบเรื่องการชำระและส่งมอบหลักทรัพย์ก็อยู่ในภาวะปกติไม่น่ากังวล ส่วนเรื่องการบังคับขายหุ้นก็ถือว่ามีบ้าง แต่ไม่มาก

สำหรับเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีการขายหุ้นไทยออกไปนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นที่เข้ามาในช่วงที่สหรัฐฯมีการทำ QE ในช่วงปี 2554 ซึ่งขณะนี้จากความผันผวนระยะสั้นทำให้มีการขายหุ้นไทยออกไป ซึ่งถือว่าเป็นเม็ดเงินที่ไม่มากและไม่น่ากังวล เพราะกองทุนต่างประเทศขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่มีการขายออกมา

ทั้งนี้ จากกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องขณะนี้ อยากให้นักลงทุนมีความระมัดระวัง รอบคอบ อย่าตื่นตกใจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยก็ยังมีการเติบโตกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ บจ. มีกำไรเติบโตที่ดีกว่าปีก่อน ผลตอบแทนก็อยู่ในระดับที่สูง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และจากการที่สหรัฐฯจะมีการทยอยยกเลิกการใช้มาตรการ QE ถ้าประเมินระยะยาวถือว่าเป็นปัจจัยบวกกับประเทศไทย เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวที่ดี และทำให้ประเทศไทยมีการส่งออกดีขึ้น ส่วนซีเรียก็อาจจะส่งผลกระทบในด้านจิตวิทยาบ้าง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ค่อยมีผลต่อประเทศไทยโดยตรงมากนัก

อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ไทย ได้มีการประสานความร่วมมือกับก.ล.ต.ญี่ปุ่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไทย กับบลจ.ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการผลักดันให้บลจ.ไทยไปตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ที่ญี่ปุ่นเพื่อดึงกองทุนและนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

"ขณะนี้มีบลจ.ไทยสนใจที่จะตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟันด์จำนวน 2-3 รายแล้ว โดยสาเหตุที่ก.ล.ต.ไทยมีการสนับสนุนให้ตั้งกองทุนดังกล่าว เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัว และกำลังจะมีการหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีความน่าสนใจจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตที่ดี" นายวรพล กล่าว

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อัพเดตหุ้นไทยภาคเช้า (27สิงหาคม2556): ข้อเสนอแนะในการจัดการพอร์ตช่วงนี้



รายการรู้ก่อนรวยกว่า 27 สิงหาคม ฟังมุมมองผู้บริหารกองทุนคุณบุญชัย เกียรติธนวิทย์ CEOบลจ.ธนชาต ประเด็น: 
- ระยะสั้น คงปกคลุมด้วยข่าวร้าย
- ระยะยาว ยังมีข่าวดี และความหวังอยู่ 
-ค่าP/Eหุ้นไทยตอนนี้12.2เท่า ถูกกว่าหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
- มองเป็นการลงทุนให้ยาวขึ้น อย่า Timing ตลาด
- 2 เคล็ดลับ คือ กระจายการลงทุน กับทยอยลงทุนเมื่อโอกาสมาถึง
- บลจ.ธนชาต แนะนำ กองทุน T-Lowbeta และกองทุน T US Challenge2, T-Global Equity


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

แนวโน้มSETหลังหลุดรูปแบบH&S TOPลงมา targetแถวๆ1310ก็อาจรีบาวนด์ซักยก แต่หากหลุดอีกก็จะลงไป1250-1200จุด+/-
แนวโน้มSET50จุดชี้ขาดเขต885+/-ที่เป็นlowเก่า หากยืนได้จะฟื้นไป900/915หรือ930หากหลุดจะลง875/840-830
ข้ออภิปรายเรื่องWAVE(อีกแล้ว)

คือรอบที่ผ่านมาเพื่อนๆเราบางท่าน อภิปรายว่าSETทำWAVE5ไปแล้ว ทำa-bไปแล้วกำลังลงc ผมก็เลยถามว่าท่านเอาTimingตรงไหนดู? ท่านก็ตอบว่าเอาTimingระยะสั้น(สั้นของผมคือนับจากสตาร์ทแถวๆ1100จุดเมื่อกลางปีกลาย ขึ้นมาพีคที่1650เมื่อกลางปีนี้)

ถ้าเป็นไปตามข้ออภิปรายของท่าน ก็"อาจจะ"ควานหาcเจอแถวๆนี้(ในภาพคือ1310-1280จุด) ตามตำราที่ว่าCควรลงลึกกว่า4(IVในภาพ) แต่ไม่ลึกกว่า2(IIในภาพ=1265จุด)

ข้อเสนอแนะ-ก็ทำตามแนวโน้มนะครับ ส่วนรายตัวก็ดูพื้นฐานรายตัวกับแนวโน้มรายตัวเทียบกับSETครับ ดีกว่า/แย่กว่า หรือพอๆกับSET หากแย่กว่าหรือพอๆกับSETก็ลดพอร์ตลง หรืออย่าซื้อ แต่หากดีกว่าSETก็ถือหรือซื้อได้ครับ

ปัจจัยพื้นฐานของSET

ส่วนหุ้นรายตัวก็ไปดูพื้นฐานและแนวโน้มแต่ละตัวประกอบนะครับ 
1.ตัวไหนดีกว่าตลาด (outperform) ก็ถือหรือซื้อได้ครับ
2.
ตัวไหนแย่กว่าตลาด(underperform) หากแย่กว่าหรือพอๆกับSETก็ลดพอร์ตลง หรืออย่าซื้อ หากSETร่วงลึกเกินเขต1310
3.
และตัวไหนมีค่าbetaพอๆกับตลาด หากพอๆกับSETก็ลดพอร์ตลง หรืออย่าซื้อ หากSETร่วงลึกเกินเขต1310 หากยืนได้ก็รอจังหวะเด่งกลับไปราวๆ1380-1400หรือดีสุดๆ1440+/-ก็ไปขายเอาทุนครับ


เกิดเป็นชาวหุ้นแบบเม่าๆแสนลำบากหละครับ หุ้นตกก็ต้องทำใจ ทำไปตามแนวโน้ม จะให้รัฐบาลมาประกัีนราคาแบบข้าว เขาก็คงไม่ทำ ไอ้ครั้นจะไปประท้วงปิดถนนแบบม็อบราคายางก็เกรงว่า คงไม่เหมาะอีก

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำบุญให้ได้บุญ ทำบุญสร้างสถาบันปัญญานันทะ เพื่อรำลึกถึงหลวงพ่อปัญญาฯ


รายการรู้ก่อนรวยกว่า26สิงหาคม-จับตาสิงคโปร์ขายIntuchจบเปิดทางฟื้นไข้


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

ประเด็นน่าสนใจ

1.แกนนำพันธมิตรประกาศยุติบทบาท ทำให้ปัจจัยเสี่ยงการเมืองลดลง
2.ค่าเงินบาทมาเล่นอยู่แถวlowเก่า32+/-เริ่มหยุดอ่อน แข็งขึ้นมาแถวๆ31.85
3.SETมาเล่นอยู่แุถวlowเก่า1338+/-

สรุปคือ50:50เพราะค่าเงินบาทอยู่เขต32+/- SETมาอยู่เขต1338+/- คือลงจบแถวนี้ขึ้นก็ได้ หรือรั่วลงขาดๆแล้วจัดยาวลงไปก็ได้ การรอfollowเมื่อชัดๆก็น่าจะดีกว่าทั้งทางซื้อ หรือทางขายครับ

*******


เอาบุญมาฝากครับ เมื่อวันที่24สิงหาคม ผมไปทำบุญคล้ายวันเกิดที่วัดปัญญานันทาราม คลอง6ธัญบุรี ตอนนี้ท่านกำลังจัดกองบุญกฐินหาทุนซื้อที่ดินสร้างสถาบันปัญญานันทะ เลยขอบอกบุญมายังเพื่อนๆที่ิอยากร่วมบุญกับทางวัดนะคร้าบ ทำบุญได้บุญจริงๆตามแนวทางแบบอย่างหลวงพ่อปัญญาฯครับ..โทรตามเบอร์ในป้ายได้เลยครั

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์:ว่าด้วยFund Flow และประเด็นที่คนมักไม่มอง


รายการรู้ก่อนรวยกว่า23สิงหาคม-นอกจากดูเงินทุนฝรั่งให้หันดูเงินทุนญี่ปุ่นด้วย จับตาประมูลขายหุ้นTMBต้นเดือนหน้าอิงPBVควรแข่งประมูลระหว่าง2.90-3.50฿


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

ว่าด้วยFund Flow และประเด็นที่คนมักไม่มอง

ประเด็นเงินทุนไหลเข้า-ไหลออกนั้น ผมเคยนำเสนอไว้ในคู่มือตลาดหุ้นไทยไตรมาส3/2556โดยเน้นว่า อย่าไปมองเรื่อง”เงินฝรั่ง”อย่างเดียว (ซึ่งประเด็นนี้ข่าวเรื่องลดหรือเลิกQEจะมีผลกระทบทางลบมากๆ) แต่ให้มอง”เงินญี่ปุ่น”หรือ”เยนแครี่เทรด”ด้วย และควรเป็นหลัก เนื่องจากพบว่าในรอบปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย และTIPนั้นพบว่าเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่นเป็นหลัก หากเยนอ่อนลง หุ้นโซนTIPก็มักขึ้น ที่ผ่านมาแข็งขึ้นทำให้หุ้นโซนนี้ตก

ตลาดหุ้นโซนTIP ไปในทิศทางเดียวกับหุ้นญี่ปุ่น

(ภาพประกอบ)ดัชนีSETเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกับค่าเงินเยน คือหากเยนแข็งขึ้น หุ้นไทยจะตก แต่หากเยนอ่อนค่าลง หุ้นไทยจะขึ้น สะท้อนว่าหากเยนอ่อนลง จะมีเยนแครี่เทรด คือเงินญี่ปุ่นไหลมาเข้าตลาดหุ้นไทย(รวมทั้งTIP เป็นอย่างนี้มาเป็นปีแล้ว)


ค่าเงินเยนญี่ปุ่น หลังแข็งค่าขึ้น ล่าสุดมาชนด่าน98.98และทำท่ามีโอกาสผ่านด่านนี้แล้วอ่อนลง จะกลับมาเป็นผลบวกต่อหุ้นไทย และTIP


อย่างไรก็ดี ไม่ได้บอกว่าเรื่องQEไม่ได้มีนัยสำคัญต่อตลาดนะครับ เพราะจะเห็นว่ารอบล่าสุดนี้หุ้นไทยและโซนTIPก็ลงมามากกว่าการแข็งของเยนอย่างเห็นได้ชัด ก็เพราะประเด็นลดหรือเลิกQEด้วย(เพียงแต่มาบอกว่าอย่าลืมหันไปดูเรื่องเยน แครี่เทรดด้วย เพราะมีนัยสำคัญมากเช่นกัน)


Nomura:การอ่อนค่าของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่เอเชียเที่ยวนี้ ไม่ใช่วิกฤต เป็นโอกาสดีที่จะรอซื้อ

Nomura ออกรายงานด้านตลาดอัตราแลกเปลี ยน เรื อง “EM Weakness: Crisis or Rebalanciing” เมื อ 22 ส.ค. 2013 มีมุมมองว่าค่าเงินที อ่อนลงในตลาดเกิดใหม่ (emerging market : EM) จนเริ มมีบางคนพูดถึงเรื องวิกฤตใน EM 

Nomura เห็นว่าค่าเงินที ่อ่อนลงใน EM นั้น Nomura พบว่า แรงขายสินทรัพย์และค่าเงินที อ่อนลงเมื อเทียบกับ USD ใน EM ในรอบนี้ไม่ได้มีลักษณะของภาวะวิกฤต อย่างที เคยเห็นในอดีต นี้ ไม่ได้หมายความว่า Nomura พร้อมแล้วที จะซืEอ (long) สินทรัพย์ใน EM ( EM assets) 
ในตอนนี้ แต่ Nomura กําลังหาโอกาสซื้อในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า 

Nomura ออกรายงานด้านอัตราแลกเปลี ยน เรื อง FX Insights - EM Weakness: Crisis or Rebalancing เขียนโดยทีม FX ของ Nomura 
ประกอบด้วย Jens Nordvig, Olgay Buyukkayali , Craig Chan , Tony Volpon และ Ankit Sahni เมื อ 22 ส.ค. 2013 ที ผ่านมา 

CNS โดยฝ่ าย IRIS แปลรายงานนีบางส่วน (หน้า 1-4) เมื อ 23 ส.ค.2013 ดังนี 

ค่าเงินที อ่อนลงในตลาดเกิดใหม่ (emerging market : EM) จนถึงระดับที ได้พาดหัวในหนังสือพิมพ์หลักๆ ของโลก ยิ งกว่านั Lน บางคนพูดถึงเรื องวิกฤตในตลาดเกิดใหม่ (emerging market crisis) 

การเคลื อนไหวของตลาดมีความรุนแรง ตลาดหุ้นใน EM ราคาแย่ (underperform) กว่าหุ้นของตลาดพัฒนาแล้ว (Developed markets 
:DM) ราว 25% ในช่วงหลายเดือนที ผ่านมา ถือว่าไม่บ่อยที ได้เห็นภาพเช่นนีในช่วงตลาดกระทิง 

ในขณะเดียวกัน ค่าเงินของ EM อ่อนค่าอย่างมีนัยสําคัญ และตลาดอัตราดอกเบี้ย (rates markets) ถูกขายอย่างมาก (ทําให้ curves ชันขึ้นพร้อมๆ กับ risk premia ที สูงขึ้น

ถ้ามองลึกอีกนิด Nomura พบว่า แรงขายในรอบนี้ไม่ได้มีลักษณะของภาวะวิกฤต อย่างที เคยเห็นในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ งหากมองในมุม
ของโลก อย่างไรก็ดี นี ไม่ได้หมายความว่า Nomura พร้อมแล้วที จะซื้อ (long) สินทรัพย์ใน EM ( EM assets) ในตอนนี้ แต่หมายความว่า 
Nomura กําลังหาโอกาสซื้อ ภายในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า

Crisis or rebalancing? 

เมื อราคาสินทรัพย์ใน EM ตกลงมากแล้ว (fairly pronounced) ถือเป็ นเรื องสําคัญที ต้องมองให้เห็นความแตกต่างระหว่างกระบวนการปรับ
สมดุลขนานใหญ่อย่างมีระเบียบ ( a largely orderly rebalancing process) ที แม้ว่าได้ส่งผลให้ราคาเคลื อนไหวอย่างมาก และ การที เกิด
ภาวะวิกฤตโดยสมบูรณ์ (outright crisis dynamic) ซึ งกรณีหลังเป็ นการที ตลาดปรับตัวแบบไร้ระเบียบจากดุลยภาพจุดหนึ งไปสู่อีกจุดหนึ ง 
ขณะที กระบวนการปรับสมดุล จะเห็นการทรุดตัวที น้อยกว่า และสามารถดีต่อแนวโน้มการเติบโตได้ในระยะกลาง 


วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อัพเดตไทย (22สิงหาคม2556):เกรงว่าจะมีข่าวร้ายมาบอก ค่าบาทนิวโลว์แล้ว หุ้นเสี่ยงจะนิวโลว์ลึกๆตาม เว้นแต่ยืนเหนือฐานเก่า1338ได้



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

เกรงว่าจะมีข่าวร้ายมาบอก..

1.ค่าเงินบาททำnew lowกว่าฐานเก่า31.93แล้ว(ล่าสุดเช้านี้32.08)มีโอกาส"อาจจะ"ลงไป33-34บาท/ดอลลาร์ได้(ผลดีกับคนมีทองคำ96.5% ผลเสียอย่างมีนัยสำคัญสำหรับตลาดหุ้น)

2.หุ้นโซนTIPโดนฝรั่งขายแรงพร้อมๆกัน วันนี้ปินส์เปิดทำการหลังหยุดน้ำท่วมไป2วัน เปิด-6.25%(แต่ยังไม่ลงถึงlowเก่า แต่อินโดฯทำnew lowไปหลายวันแล้ว)
3.หุ้นไทยมีฐานเดิม1338เป็นบริเวณ38.2%ซึุ่งมีนัยสำคัญ หากยืนได้ก็ดีไป แต่หากหลุดก็ลำบากครับ ความเสี่ยงในการลงอาจเป็น1250ไปถึง1150จุด

4.การfollow trendเป็นหลักการพื้นฐานที่ควรจะทำ โดยเฉพาะหากหุ้นที่ท่านมีอยู่นั้นอิงกับตลาด หรืออยู่ในSET50 หากSETลงนิวโลว์กว่า1338ควรขายเพื่อลดความเสี่ยงขาลง และอย่าเพิ่งรีบร้อนช้อนซื้อ

ข่าวดีๆพอมีบ้าง

1.ทิศทางการฟื้นตัวของจีน การฟื้นของฮ่องกงวันนี้(จากลบ200กว่าจุดมาตีบวกได้) หุ้นพวกโภคภัณฑ์ที่อิงกับจีนอาจได้ประโยชน์

2.นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีมาเวลานี้เกิน1แสนล้านบาท พอๆกับตอนซื้อมาในช่วงปีกลาย ก็อาจขายสมดุลกันแล้ว (หากจะขายต่อก็แปลว่าน่าจะเป็นshort selling..?)

**************
อัพเดตหุ้นไทยภาคเช้า(22สิงหาคม2556): ตลาดนิวโลว์ แต่หุ้นโภคภัณฑ์ตัวใหญ่หนุนไม่ให้SET50ร่วงนิวโลว์

1.SETหลุดlowเก่า1338ลงไป
2.แต่หุ้นใหญ่ในSET50ไม่นิวโลว์
3.การที่SET50ไม่นิวโลว์อาจเนื่องมาจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มน้ำมัน เคมี ถ่านหิน เขียวสวนทางตลาด(ที่เขียวสวนตลาดก็มีBANPU PTT PTTEP IRPC รวมทั้งหุ้นยางSTA)

4.การที่หุ้นโภคภัณฑ์เขียวสวนตลาด น่าจะเพราะข่าวเชิงบวกจากข่าว ดัชนี HSBC Flash PMI ภาคการผลิตเดือน ส.ค.ของจีนออกมาดีกว่าคาด: อยู่ที่ระดับ 50.1 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค.ที่ 47.7 จุด และสูงกว่า Bloomberg Consensus คาด 48.2 จุด นับเป็นเดือนแรกในรอบ 4 เดือนที่ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50จุด สะท้อนภาคการผลิตของจีนที่ขยายตัว

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คัมภีร์หุ้นไทย (21สิงหาคม2556):จับตาฐานLowเก่าของSET 1338และฐานLowเก่าของค่าเงินบาทเขต31.93ประกอบการตัดสินใจชี้ขาดสำคัญ


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

ดัชนีSET-จุดชี้ขาดสำคัญคือยืนเขตlowเก่า1338ได้หรือไม่? หากยืนได้จะฟื้นขึ้นไกล หากหลุดจะตกไปหนัก

ค่าเงินบาท-ประเด็นสำคัญคือ จะอ่อนลงเกินlowเก่า31.93หรือไม่ หากอ่อนกว่านี้ฝรั่งยังจะขายอีกมาก เป็นผลลบต่อตลาด แต่หากอ่อนไม่เกินนี้ก็จะหยุดขาย กลับมาซื้อ เป็นผลบวกต่อตลาด

การประเมิน และคำแนะนำที่สำคัญ

ประเด็นสำคัญคือ

ถ้า1.บาทไม่อ่อนเกิน31.93แล้วเริ่มแข็ง(ฝรั่งจะหยุดขาย)แต่หากอ่อนกว่านี้ก็ยังขายต่อ
2.SETไม่นิวโลว์กว่า1338(ก็จะฟื้นขึ้นไกลๆซัก100จุด)แต่หากหลุดก็อีกยาว

If...clause
ดังนั้นscenerioจึงเป็นดังนี้

1.Base case If SETยืนเหนือ1338/บาทไม่อ่อนกว่า31.93แสดงว่าตกจบ จะฟื้นกลับไปเขต1450 หรือขึ้นไปราว100จุดจากราคาปิดเมื่อวาน

2.Best Case If setไม่จำเป็นต้องลงถึง1338 คือทำฐานยกสูงขึ้น อาจลงแค่เขต1350แบบเมื่อวานนี้ /บาทอ่อนถึงหรือไม่ถึง31.93แล้วฝรั่งเทขายดอลลาร์ มาช้อนหุ้นที่กำลังตก จะฟื้นกลับไประดับ100จุด

3.Worse Case If SETหลุด1338 และบาทอ่อนกว่า31.93แล้วขายต่อเนื่องยืดเยื้อจะตกไป1250-1150 หรือตกได้ระดับ100-200จุดจากปัจจุบัน

4.The worst case if SETหลุดลงนิวโลว์กว่า1338/บาทอ่อนกว่า31.93-32และถอนการลงทุนกลับไปเลย ก็จะลงยาวโคตร แบบตอนปี1997/2008

 ข้อมูลประกอบวันนี้

1.เมื่อวานหรั่งขาย1.1หมื่นล้าน วันนี้บาทอ่อนลง31.75ใกล้เป้าหมาย31.85-31.92

2.
หุ้นอินโดนีเซียที่โดนขายหนักๆแบบเราวันนี้ฟื้นบวกนิดหน่อย ปินส์ยังปิดน้ำท่วม


สรุปคำแนะนำ*รอFollowดีกว่านะครับ ให้หายฝุ่นตลบ ชัดๆแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายดี จะได้ไม่พลาด คือหากทำnew lowแน่ๆก็ขายลดพอร์ต หากยืนได้แน่ๆก็ซื้อ หรือถือหุ้นต่อไป

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อัพเดตหุ้นไทย(20สิงหาคม2556):รอดูให้ชัด อย่าด่วนตัดสินใจซื้อหรือขาย

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

ช่วงเปิดทำการวันนี้SETเปิดร่วงลงมาเขต1373จุด เป็นบริเวณแนวรับuptredรายสัปดาห์

Targetตก และข้อเสนอแนะ

1.1380-1370
2.lowเก่า1340+/-
3.New low1250-1150


ข้อเสนอแนะ-ก็เฝ้าดูก่อนนะครับ ทำอะไรตอนนี้เสี่ยงผิดหมด คือขายก็เสี่ยงผิด(สมมุติืลงแค่1373-1380แล้วเป็นbottomก็จะฟื้นไปไกลแถวๆ1450จุด) หรือซื้อก็เสี่ยงผิด(เกิดหลุดแถวๆuptrend1373ลงไปก็ลงไปlowเก่า1340+/- หรือnew lowอีก)

อัพเดตเพิ่มเติมช่วงเวลา11.45น. 20 สิงหาคม 
หน้าตาชาร์ตรายวันครับ หลุดด่าน1380-1373ลงมา ท่ามกลางOverSold 

จุดชี้ขาดสำหรับผู้ลงทุนระยะกลางคือเขต38.2%แถวๆlowเก่า1338-1340ครับ

ก.หากยืนเขตนี้ได้ก็ฟื้น ลงจบแค่นี้ในรูปแบบdouble bttom
ข.หากหลุดก็ลำบากครับ เสี่ยงตกยาวไปเขต1250-1150

ปัจจัยกดดันคือหรั่งขาย บาทอ่อน(ดูบาทหากไม่อ่อนเกินlowเก่า31.90+/-ฝรั่งจะหยุดขาย แต่หากอ่อนเกินนี้ฝรั่งจะขายยาวครับ)


สรุปคือดูว่าจะยืนเหนือlow1338หรือทำdouble bottom? หรือหลุดแล้วจะลงยาวไป1250-1150?

เอาให้ดีก็รอfollowดีกว่านะครับ ไม่ต้องไปฟันธงอะไรหรอก มันหลุดก็เลิก มันยันได้ก็ซื้อ


วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มุมอินไซด์ (19สิงหาคม2556):GDPหดวูบขยายตัวน้อยกว่า3%ในไตรมาส2 ตลาดหุ้นขานรับปัจจัยลบในขีดจำกัด หากยืนเหนือ1400-1415ได้





โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

ช็อคGDP/Q2หดตัวโตแค่2.8%หุ้นตก

ความเห็นของผม:ปกติในไตรมาส2ของทุกปีมักลดลง เพราะช่วงสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว หรือหยุดแถม ทำให้ผลผลิตทุกภาคแทบไม่ทำงานครับ แต่ตัวเลขที่ออกมาก็นับว่าเยอะกว่าที่คาดการณ์อยู่ดี ก็จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยภาคเช้าวันจันทร์ที่ 19ในทางลบ แต่เนื่องจากซับข่าวนี้ไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ก็อาจมีผลกระทบที่จำกัด จับตาหากSETยืนเหนือแนวรับ1430+/-ก็อาจสะท้อนต่อข่าวลบนี้ และฟื้นตัวขึ้น

ฐานก็1415หรือ1400+/-ครับ
ต้าน1430/1444ถัดไป1460

ค่าสัญญาณ ยังมีBuy signalของmodify stochasticsโดยค่า%Kยืนเหนือ%d

รายละเอียดข่าวครับ

IQ> *สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 2/56 โต 2.8% การใช้จ่าย-ลงทุนชะลอ ส่งออกรับผลกระทบ

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 56)--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)แถลงว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2/56 ขยายตัว 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการใช้จ่ายครัวเรือนชะลอตัว การลงทุนชะลอตัว การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและบาทแข็ง รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมหดตัว ขณะที่มีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวสูงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 1/56 ถือว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2/56 หดตัว แต่ช้าลง

--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ศศิธร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

IQ> *สภาพัฒน์ คาดปี 56 GDP โต 3.8-4.3% จากเดิมคาดโต 4.2-5.2%

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 56)--สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 56 ลงเหลือเติบโต 3.8-4.3% จากเดิมคาดไว้ในช่วง 4.2-5.2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาด ฐานสูง การลดลงของแรงส่งจากมาตรการภาครัฐ แผนลงทุนภาครัฐล่าช้ากว่าคาด รวมถึงความขัดแย้งและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ
ส่วนแรงส่งของเศรษฐกิจในปีนี้มาจากการปรับตัวดีขึ้นของพลวัตรทางเศรษฐกิจ การดำเนินตามกรอบเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยปี 56 ปัจจัยพื้นฐานด้านการลงทุนและความเชื่อมั่นยังอยู่ในเกณฑ์ดี

--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ศศิธร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--


********
commentของโบรกเกอร์รายหนึ่ง

GDP 2q13 2.8% ต่ำกว่าตลาดคาด แต่ไม่ Surprise เรา เพราะเราคาด 2.7%  ซึ่งเราประเมิน Panic sell วันนี้น่าจะเป็น Bottom ของสัปดาห์ และน้ำหนักต่อการลดดอกเบี้ย 21 นี้จะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความจำเป็นต่อการเร่งลงทุนภายในประเทศเพื่อกระตุ้น Growth เป็นปัจจัยบวกต่องบลงทุน 2 ล้านล้านวาระ 2-3 ปลายสัปดาห์นี้ คาด SET ย่อ 1418-1425 คือจุดตั้งรับ

กลยุทธ์ จังหวะย่อ ยังเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง โดยเน้น Theme ดังนี้ 1) Commodities Play : IVL ราคา Cotton พุ่งแรงทะลุจุดสูงสุดเดิมของปีสู่ 93.32 เซน(รายละเอียดเพิ่มเติมใน Eagle Eye / TTA PSL ดัชนี BDI +1% สู่ 1102 จุด และค่าเฉลี่ย BDI 3Q13 +23%q-q +34%y-y หนุนผลประกอบการ 3Q13 จะฟื้นตัวเด่น 

2) พลังงานทางเลือก (SPCG, EA) 

3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 4 ด้าน Domestic Consumption + Tourism (HMPRO GLOBAL ERW MINT CENTEL CPALL BIGC AOT THAI AAV)  

4) เก็ง พรบ.2 ล้านล้าน (CK STEC ITD) 

5) หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน กลุ่ม ELEC (KCE เด่นสุด) 


6) หุ้น Seasonal เช่น Health (BGH) ส่วน Big Cap เน้นสะสม INTUCH BBL JAS SCC   ส่วน Big Cap สะสม INTUCH BBL JAS SCC BTS

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มุมอินไซด์ (15สิงหาคม):เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นต่อเนื่องถึงตุลาคม และลุ้นมาตรการจากที่ประชุมพรรคของจีน เป็นข่าวกระตุ้นหุ้นโภคภัณฑ์อย่างBANPU STA IVL IRPC PTTGC PTL


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

 ตลาดหุ้นจีนเช้าวันศุกร์บวกแรง 3.65% จากแรงเก็งกำไร การผ่อนคลายนโยบายของจีนทั้งในส่วนของภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการปรับ Reserve Requirement Ratio (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดเงิน

โบรกเกอร์รายหนึ่งได้ออกบทวิเคราะห์เรื่อง:จีนหลังจากข้อมูลเดือนกรกฎาคมที่ดี จะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งท่ามกลางเรื่องร้ายๆหรือไม่?

โดยชี้ว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นต่อเนื่องไปถึงเดือนตุลาคม และรอดูผลประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าจะออกมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจหรือไม่ อย่างไร

ความเห็นของผม:ประเด็นนี้จะทำให้เกิดการเก็งกำไรในหุ้นที่อิงเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะพวกที่ตกต่ำซบเซาตามจีนมา2ปีเศษแล้วอาจฟื้นขึ้นจากแนวโน้มนี้ เช่น BANPU IVL STA IRPC PTL PTTGC เป็นต้น

ดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ฟื้นจากเขต1850จุด ล่าสุด2100 มีเป้าหมายขึ้นไป2200-2300จุด หากเกินนั้นก็จะฟื้นขึ้นยาว แต่หากไม่ก็เป็นการรีบาวนด์ในขาลง คงต้องติดตามกันต่อไป

นี่เป็นรายงานการวิเคราะห์ของโบรกเกอร์รายดังกล่าว

การฟื้นคืน(rebound)จะดำเนินต่อไปได้อีกหรือไม่

ด้วยตัวเลขการเติบโตด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรม(IP) ของเดือนกรกฎาคม ที่ 9.7% YoY ซึ่งเติบโตกว่าที่คาดการมาก(เทียบกับของเดือนมิถุนายน ที่ 8.9% ), การเติบโตที่แข็งแกร่งของการนำเข้าและดัชนีฝ่ายจัดซื้อ(PMI) รวมทั้งสินทรัพย์อื่นๆที่เกี่ยวข้องได้ปรับตัวขึ้น ตั้งแต่การขาดสภาพคล่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน ในที่สุดตลาดก็ได้พบกับสัญญาณของความผ่อนคลาย แต่ตามที่เราได้รวบรวมคำถามจากลูกค้าในหลายวันที่ผ่านมา สรุปได้ว่าสิ่งที่นักลงทุนกำลังคิดตอนนี้คือ

1)การฟื้นคืน(rebound)จะดำเนินต่อไปได้อีกหรือจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ
2)เมื่อไรอัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) จะดีขึ้น
และ3)เราจะคาดหวังอะไรจากการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กำลังจะมีขึ้น 

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็นข้อแนะนำให้นักลงทุนในระยะนี้
เศรษฐกิจน่าจะสดใสจากเดือนสิงหาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม

ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้ตลาดและเศรษฐกิจน่าจะสดใสในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนตุลาคม(เมื่อการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเริ่มขึ้น) หลังจากนั้นตลาดน่าจะเห็นการเติบโตปานกลาง อัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)จะผ่านระดับทางจิตวิทยา 3.0% และการประชุมของพรรคจะกระเสือกกระสนที่จะออกแผนการปฏิรูปที่นำมาใช้ได้จริง

การฟื้นคืน(rebound)จะดำเนินต่อไปได้อีกไม่นานแน่นอน

คำตอบที่สุดแล้วคือการเติบโตของจีนอยู่บนโครงสร้างของขาลง ดังนั้นการขึ้นมาตามวัฎจักรจะพบกับการซบเซาจากแรงกดดันจากโครงสร้างในเร็ววัน ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือประชาชนค่อนข้างจะเฉื่อยชาเกินไปเนื่องจากความกังวลเรื่องตลาดการเงินระหว่างประเทศ(ด้วยตัวเลขการเติบโตด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรม(IP)ลดลงถึง 8.9% ในเดือนมิถุนายน จาก 9.2% ในเดือนพฤษภาคม) แม้ว่าในเดือนกรกฎาคมจะได้ความเชื่อมั่นจากประธานาธิบดีสี แต่อย่างไรก็ตามความต้องการที่จำกัดนั้นไม่ยั่งยืน ตามมุมมองของเรา

แต่ข้อมูลไม่ดีของเดือนมิถุนายนมีระยะเวลาสั้นกว่า

เรื่องสำคัญคือข้อมูลที่แย่จนเกินไปในเดือนมิถุนายนนั้นมีระยะเวลาสั้นกว่า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดได้คาดเดากันไปไกลจนเกินไปโดยทำนายผลกระทบที่สองและสามบนการขาดสภาพคล่องทางการเงินระหว่างธนาคารในเดือนมิถุนายน หากคิดในทางที่ต่างออกไปตลาดไม่ได้ต้องการตัวเลขการเติบโตด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรม(IP) ที่สูงขึ้นจากนี้เพื่อที่จะทำให้ตลาดคึกคักหรือซบเซาน้อยลงแต่ทีต้องการคือตัวเลขการเติบโตเฉลี่ยใน 3Q และ 4Q จะยังคงสูงกว่าหรือเท่า 2Q (9.1% YoY สำหรับ IP และ 7.5% YoY สำหรับ GDP) เรามั่นใจที่จะคงคาดการการเติบโตของ GDP ของ 3Q, 4Q ที่ 7.6% และ 7.5% YoY ตามลำดับ

อัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ดูเหมือนว่าจะต่ำกว่า 3.0% ก่อนเดือนตุลาคม

เราเชื่อว่าตลาดและผู้จัดการจัดซื้อจะระมัดระวังมากขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) จะเกิน 3.0% โชคดีที่CPI ดูเหมือนจะไม่เกิน 3.0% ในเดือนสิงหาคม และกันยายน หรือแม้แต่ตุลาคม ต้องขอบคุณดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)ที่ยังคงเป็นลบและการ supply เนื้อหมูที่มากพอ

ความหวังเรื่องการปฏิรูปอาจจางลงหลังจากการประชุมพรรค

เราคิดว่าตลาดได้ลดความคาดหวังเรื่องมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจที่จะประกาศในการประชุมรอบที่3ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP)ในเดือนตุลาคมนี้ อาจกล่าวได้ว่าตลาดคาดหวังสิ่งที่เหนือความคาดหมายจากการประชุมนี้ แต่เรากังวลว่าตลาดอาจจะผิดหวังเมื่อปิดการประชุมแล้ว จริงอยู่ที่มี3rd Plenary Sessionหลายครั้งที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์(โดยเฉพาะในปี 1978 และ 1993) แต่มันไม่ได้หมายความว่าการประชุมที่มีขึ้นทุกๆห้าปีนั้นจะมีความสำคัญเสมอไปทุกครั้ง

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คัมภีร์หุ้นไทย (7สิงหาคม2556): เริ่มเข้าระยะ3ของตลาดหุ้นกับวิกฤตในวันนี้ ประเมินทิศทางเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น พร้อมกลยุทธ์ที่สำคัญ และหุ้นเด่นที่น่าสนใจ


สัญญาณถ่ายทอดสดโดยสถานีโทรทัศน์รัฐสภา


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 081-8311611 087-7174979 http://www.facebook.com/tontancorp

*ประเมินม็อบ7ส.ค.และพรบ.นิรโทษกรรมทั้ง2ฝ่ายลดระดับเผชิญหน้า เป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

-Bangkok Postรายงานผู้ชุมนุมค้างคืนปชป.2500คน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าคาดการณ์

-ปชป.นำผู้ชุมนุมออกเดินขบวนเวลา 09.30 น.วันนี้ โดยมีส.ส.ปชป.เดินนำ ออกจากใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ไปถนนศรีอยุธยา และหยุดที่วัดเบญจฯ แล้วส่งตัวแทนเจรจาจนท.ว่าขอให้ผู้ชุมนุมไปส่งส.ส.ปชป.เข้าสภา แต่หากไม่อนุญาตก็ให้ส่งแค่นั้น แล้วแยกย้ายกัีน ส.ส.ปชป.ก็เดินเข้าสภา พี่น้องก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พี่น้องอย่าหาว่าพวกผมทอดทิ้งให้ว้าเหว่

-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เผย ช่วงหัวค่ำวันที่ 6 ที่ผ่านมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระเมตตารับสั่งให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พร้อมตน และ พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต รอง ผบช.น. ที่รับผิดชอบด้านการวางกำลัง เข้าเฝ้าฯ และถวายรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งพระองค์ท่านทรงเป็นห่วง และหากมีอะไรเกิดขึ้นต้องไปกราบบังมทูลให้พระองค์ทรงทราบ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระเมตตาแนะนำแนวทางการปฏิบัติ และทรงเป็นห่วงตำรวจที่ได้ทำปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณดังกล่าว

"ในส่วนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นั้น ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะไม่ทำให้ทุกอย่างระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หากเกิดเหตุรุนแรง ยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากตำรวจอย่างแน่นอน ทุกอย่างจะต้องจบด้วยการเจรจา" ผบช.น. ระบุ

เมื่อถามว่า พระองค์ท่านทรงกังวลเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า พระองค์ท่านทรงห่วงใย หากเกิดการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น พระองค์จะไม่สบายพระหฤทัย และขอทุกอย่างจบด้วยการพูดคุยกัน

ประเมิน:ทั้ง2ฝ่ายน่าจะลดระดับการเผชิญหน้า และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าตึงเครียดลงจากข่าวข้างต้น ยกเว้นจะเกิดอุบัติเหตุแบบน้ำผึ้งหยดเดียวขึ้น น่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นนะครับ
ก็น่าจะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงที่3ของตลาดในวันนี้


แนวโน้มตลาดหุ้นกับวิกฤตการเมืองรอบนี้-น่าจะผ่านช่วงที่2ไปแล้ว และเริ่มต้นเข้าระยะที่3วันนี้คือเมื่อสถานการณ์ชัดเจนขึ้น และเป็นกำหนดวันสำคัญ ไม่ว่าผลของวิกฤตจะออกมาอย่างไร ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาด โดยหลังจากซึมสร้างฐานเหนือ1400จุดในช่วงที่2มาระยะหนึ่ง น่าจะเริ่มเข้าสู่ระยะที่3คือ เริ่มขึ้น และจะมีโอกาสไปทำพนิวไฮกว่ายอดไฮก่อน1520จุดที่ทำไว้ในระยะต่อไป

วันนี้มีกรอบแนวรับแรก1430+/- แนวรับฐานใหญ่1400+/- แนวต้านเขต1450-1460 ซึ่งหากผ่าน1450-1460ก็ให้คาดว่าจะขึ้นไปนิวไฮเกินเขต1520ที่ทำไว้ โดยน่าขึ้นไปเขต1600หรือ1650ได้ในระยะต่อไป

คำแนะนำ 1.ถือหุ้นที่ติด หรือลงทุนไว้
2.เข้าช้อนซื้อหุ้นที่อ่อนไหวกับการเมือง เช่น XXXX XXX XX YYY เป็นต้น (สมาชิกที่บอกรับข้อมูลจากผมให้อ่านในอีเมล์ หรือทางSMSครับ)
3.ซื้อหุ้นเฉลี่ยต้นทุนในตัวที่ติดไว้สูง เพื่อแก้ไขพอร์ต
4.ไปลุ้นการทำนิวไฮเกิน1520เพื่อไปรอขาย1600หรือ1650จุด(กรณีดีมากๆรอบนี้จะไปนิวไฮเกิน1650จุด) แต่ก็ต้องเริ่มหันไปดูปัจจัยต่างประเทศที่มีแรงกดดันจากการที่FEDจะลดQEด้วย


ลูกสูตรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในตลาดหุ้นได้อย่างไร?

3ช่วงของการทำลายเชิงสร้างสรรค์ในตลาดหุ้น-วิกฤตการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น จะมีรูปแบบ(pattern)ที่เหมือนกันทุกครั้ง คือพอจะแบ่งได้ 3 ระยะด้วยกัน


- ระยะแรก (เฟส1) ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ ระหว่างที่ฮึ่มฮั่มใส่กันไปมานั้น ตลาดหุ้นมักจะตกกันแบบโลกาวินาศ เพราะความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจว่าจะบานปลายไปเป็นวิกฤตการณ์ใหญ่ กลัวจะเกิดทุพภิกขภัยสารพัดทำให้คนในตลาดหุ้นเทขายหนีตายกันจ้าละหวั่น...ความกลัวทำให้หุ้นตก 

- ระยะที่สอง (เฟส2) ในช่วงระหว่างเตรียมพร้อมไพร่พลเสบียงกรัง และออกข่าวจะเปิดเกมถล่มกัน ให้บรรลัยกันไปข้าง ตลาดหุ้นมักจะซึมกระทือ คนเลิกเล่นหุ้นกันไปส่วนใหญ่ กรอบความเคลื่อนไหวมักจะแคบๆ เพราะคนทำใจได้แล้วว่าเลี่ยงภาวะสงครามไม่ได้แน่ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาเล่นในตลาดความทรมานคือการรอคอย

- ระยะที่สาม (เฟส3) สำหรับวิกฤตรอบนี้จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ผมมักเรียกว่ากระสุนนัดแรกในสงครามหรือ เสียงปืนแตกนัดแรก ไปจนกว่าจะยุติวิกฤต หรือคาดเดาได้ว่าวิกฤตจะยุติ ไม่ว่าจะมีผลลงเอยไปในทิศทางใด ก็แปลกที่ว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้มักจะดีดตัวขึ้นแล้วก็วิ่งยาว ( rally) และไม่ช้าไม่นานมักจะขึ้นไปสร้างสถิติทำจุดสูงสุดใหม่ (new high)กันทุกครั้งไปเสียด้วย