วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Creative Destruction Model และการนำไปประยุกต์ใช้กับวิกฤตการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น แม้แต่วิกฤตที่คุณกลัวชนิดจับขั้วหัวใจ มันได้ผลมาก ต้องอ่าน

คลิกภาพเพื่อขยายใหญ่

โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด


ในช่วงกว่า20ปีที่ผ่านมานี้ ผมนำเสนอเรื่องใหม่ๆต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ 3 เรื่องด้วยกันครับ


เรื่องแรก-FundFlow การวิเคราะห์เงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย


เรื่องที่สอง-TimeZone มิติด้านเวลาว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือจะตกวันไหน เมื่อไหร่

เรื่องที่3-Creative Destruction Model หรือโมเดลทำลายเชิงสร้างสรรค์กับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้น

โมเดลทำลายเชิงสร้างสรรค์กับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้น(เป็นโมเดลที่ผมคิดสังเคราะห์ และนำเสนอต่อนักลงทุนมาในช่วงเวลา20ปีมานี้)

ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์สงคราม, ก่อการร้าย, วิกฤตการเมือง, จลาจล, ปฏิวัติ, รัฐประหาร, พิบัติภัย อย่าง น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, สึนามิ, โรคระบาด แบบ ซาร์, วัวบ้า, ไข้หวัดนก,ผู้นำคนสำคัญถึงแก่อสัญกรรม ฯลฯ โดยมี MODEL ดังชาร์ตด้านบนนี้

โมเดลพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในตลาดหุ้น คุณสามารถเปลี่ยนวิกฤตได้ เพียงแต่รู้เรื่องนี้ ถ้าคุณหรือเพื่อนของคุณหวาดผวาข่าวร้ายใดๆก็ตาม แชร์ไปให้เพื่อนคุณรู้ ้เพื่อรับมือกับทุกวิกฤตการณ์ในตลาดหุ้น(แม้แต่วิกฤตที่คุณกลัวจับขั้วหัวใจก็ตาม)


โดย " Creative Destruction Model " นี้ พอจะอธิบายได้ดังนี้


ช่วงที่ 1  เมื่อวิกฤตการณ์ก่อตัวหรือเกิดพิบัติภัยขึ้นจะส่งผลลบทางจิตวิทยาของมวลชนในตลาด  พากันขายหนีตายออกมาด้วยความแตกตื่น ( Panic Sell )  ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรง  กระทั่งส่งผลให้ราคาหุ้นลงไปมากกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ๆ ( Under Value )…

ในช่วงนี้ หากจะขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนแต่เนิ่นๆก็พึงจะทำ แต่ถ้าหากร่วงลงมาลึกๆและชันก็ไม่ควรขายทิ้งแล้วนะครับ หรือในทางตรงกันข้าม การสวนควันปืนเข้าซื้อเลยก็ยังไม่ควรทำเช่นกัน

 ช่วงที่ 2  หลังจากมวลชนคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นได้พากันเทขายออกมาจนหนำใจแล้ว  นรกก็จะค่อย ๆ เย็นลง เข้าสู่ช่วงซึมกระทือ ทั้งปริมาณและมูลค่าซื้อขาย  ราคาหุ้นไม่ลงต่อแบบไหลรูดลงแล้ว  เพราะคนที่ขายก็พากันขายจนเป็นที่พอใจแล้ว  ไม่มีแรงขายล็อตใหญ่ ๆ อีกแล้ว  แต่ในฝั่งตรงข้ามคนที่จะซื้อก็ยังไม่กล้าซื้อหุ้น  เนื่องจากว่าวิกฤตการณ์ที่ถาโถมใส่ยังไม่จบสิ้น หรือยังไม่เคลียร์

 ช่วงนี้ราคาหุ้นจึงมักทรง ๆ มูลค่าซื้อขายซบเซา  ส่วนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น   ก็มักต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงแบบมีส่วนลด ( DISCOUNT)  มาก ๆ

ช่วงจังหวะที่ 2 นี่เองที่ผมแนะนำว่าเริ่มเก็บหุ้นได้แล้วครับ  ฝุ่นหายตลบแล้ว  ความเงียบมาเยือน  ความซึมเซาทรง ๆ ปกคลุมเริ่มช้อนได้  ไม่มีใครแย่ง  ไม่มีใครกล้าแหย็มไล่ราคาขึ้น

 แต่ถ้ายังไม่กล้าช้อนซื้อในช่วงนี้ก็ WAIT & SEE คอยจังหวะในช่วงต่อไป...

 ช่วงที่ 3  เมื่อวิกฤตการณ์สิ้นสุดลง  หรือทำท่าว่าจะสิ้นสุดลง  หรือกะเก็งกันว่าผลจะจบแบบไหน ? ( สมัยสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้งหนแรก  และหน 2  พออเมริกาเปิดฉากยิงใส่ฝ่ายซัดดาม ฮุสเซน  เปรี้ยงแรก  ตลาดหุ้นก็ขึ้นเลยครับและขึ้นยาวซะด้วย )  ราคาหุ้นก็จะทะยานขึ้น  และผมได้บันทึกสถิติไว้ว่า ในช่วงที่ 3 นี้ราคาหุ้นจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ( New High ) กว่ายอดไฮ  หรือยอดสูงเดิม แบบที่เรียกว่า นวตกรรมใหม่เกิดขึ้นหลังจากทำลายของเดิมลงไปแล้วนั่นเอง

 ช่วงจังหวะที่ 3 นี้เอง  ที่ผมให้เคล็ดลับแนะนำแนวทางในการลงทุนไว้ว่า      ให้เพิ่มพอร์ตการลงทุน หรือซื้อเพิ่มจนเต็มพอร์ต  ( หรือถ้าในช่วงที่ 2 จังหวะซึมๆ   ซึมกระทือ วอลุ่มบางเฉียบอย่างมีนัยสำคัญ ก็ควรเริ่มเก็บได้แล้ว แต่หากยังไม่กล้าเก็บไม่กล้าช้อนซื้อในช่วงปลายๆช่วงที่ 2 ก็ต้องมาเร่งเอาช่วงที่ 3 นี้หละครับ ) จากนั้นให้ถือครองกอดหุ้นไว้  แล้วนำไปรอขายในช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ( NEW HIGH )

" Creative Destruction " ถ้าจะหาคำแปลที่แปลแล้วตรงๆ ตัวก็คงจะลำบากคงราวๆ “ นวตกรรมการทำลายเชิงสร้างสรรค์ ” หรือ " การทำลายสิ่งเก่าลง เพื่อเกิดใหม่อย่างศิวิไลซ์กว่าเดิม " เป็นทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์ Joseph Schumpeter โดยเขาได้เขียนไว้ในหนังสือ Capitalism, Socialism and Democracy ว่าปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดความมั่งคั่งของสังคม ก็คือการที่สังคมและองค์กรจะมีนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆได้นั้นจะต้องเกิดจากการลบเลือนหรือการทำลายล้างสิ่งเก่าๆ ออกไปเสียก่อน เนื่องจากภายใต้บริบทและวิธีการเดิมๆ นั้นย่อมยากที่จะเกิดนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆได้
ทฤษฎีนี้ต่อยอดมาจากคำแถลงที่มีชื่อเสียงอุโฆษคือ The Communist Manifesto (Marx and Engels, 1848)

ลองย้อนไปดูสงครามโลก , สงครามอ่าวเปอร์เซีย , สงครามต้านการก่อการร้าย การจลาจล , ประท้วง , ปฏิวัติ , รัฐประหาร , สึนามิ , พิบัติภัย , การพังทลายทางเศรษฐกิจ , การถึงอสัญกรรมของผู้นำประเทศ ฯลฯ  เหล่านี้คือวิกฤตการณ์ที่ผ่านมาเยือนตลาดหุ้นถี่ยิ่งกว่าดาวหางฮัลเล่ย์  แต่เชื่อหรือไม่ว่า ทุกครั้งเมื่อเจอกระแทกแรงๆจากวิกฤตการณ์เหล่านี้ ตลาดหุ้นหลังจากนั้นจะปรับสมดุล แล้วก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดใหม่เสมอ (ย้ำว่าถึงจะร่วงหนักเมื่อเจอวิกฤต  แต่ภายหลังผ่านพ้นวิกฤตได้  ราคาหุ้นจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ครับ)

หมายเหตุ:คัดมาจากตอนหนึ่งของหนังสือ"จิตวิทยาตลาดหุ้น ฉีกกฎลงทุนโลกตะลึง" ซึ่งผมกำลังจัดทำต้นฉบับเพื่อพิมพ์เป็นเล่มอยู่ครับ
....

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คัมภีร์หุ้นไทย รายสัปดาห์ (23-26 กุมภาพันธ์2559):ทดสอบแนวต้านDownTrend เป็นจุดชี้ขาดว่าจะเปลี่ยนทิศทางเป็นแนวโน้มไปเป็นขาขึ้น หรือยังจะลงต่อ หลังจากที่ลงมาแล้วเป็นปี

แนวรับ-1297,1283
แนวต้าน-1338,1343
แนวโน้ม-หลังจบพักฐานตามโผในสัปดาห์ก่อน จะขึ้นทดสอบแนวต้านเส้นกดหัว(DownTtrend)สำคัญมาก บริเวณ1440+/-(ตั้งแต่1338ถึง1343)ในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะตัดสินชี้ขาดทิศทางที่สำคัญคือ

ก.หากขึ้นไปผ่านแนวต้านDownTrendเขต1440ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มครั้งสำคัญในรอบปี คือยืนยันว่าสิ้นสุดภาวะตลาดหมี จบขาลงแล้ว และจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเข้าสู่ภาวะกระทิงเป็นขาขึ้น นานหลายเดือน หรือยาวเป็นปีนับจากนี้

ข.หากขึ้นมาชนแนวต้านDownTrendเขต1440แล้วแพ้ลงมาอีกยก ก็จะชี้ขาดว่าตลาดยังจะเล่นในแนวโน้มขาลงอีกต่อไป หลังจากที่อยู่ในขาลงของภาวะตลาดหมีมานานนับปีแล้วก็ตา

คำแนะนำ-1.ท่านที่ซื้อหุ้นมาจากเขต1220จุดตามคำแนะนำ รอดูท่าที หากทำท่าไม่ผ่านด่านแนวต้านDownTtrend ให้ขายทำกำไร และปกป้องความเสี่ยงจากตลาดขาลง(ถ้าผ่านได้ ก็ค่อยยอมFollow Buy ต้นทุนแพงขึ้น)

2.ท่านที่พอร์ตว่าง เนื่องจากมีช่วงของการขึ้นที่จำกัด ราวๆ20จุดจากราคาปิดล่าสุด จึงควรหยุดซื้อ และรอดูท่าที กรณีผ่านด่านแนวต้านนี้ได้แน่ค่อยไปรอFollow Buy แม้ต้นทุนแพงขึ้น แต่จะได้ไปขายในเป้าหมายที่แพงกว่า ตั้งแต่เขต1375,1400หรือ1465

ในทางกลับกันหากไม่ผ่านแนวต้านDownTtrendนี้ แสดงว่าตลาดยังอยู่ในช่วงขาลงที่มีเป้าหมายลงรอบหน้าทำnew lowลึกกว่า1220 เช่น 1200 หรือ1165จุด ก็จะทำให้ท่านประหยัดต้นทุนได้มากกว่า

3.ท่านที่จะซื้อลงทุนรอบใหญ่ของขาขึ้น ให้รอจนกว่าตลาดยืนยันจบขาลงด้วยการทะลุผ่านแนวต้านDownTtrendนี้ขึ้นไปเท่านั้น

4.ท่านที่ติดหุ้น และหากหุ้นของท่านเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทางเดียวกับดัชนีตลาดหุ้น(SET)ให้เทรดFollow Ttrendตามที่กล่าวไปแล้ว กล่าวคือ

-กรณีSETสามารถผ่านด่านแนวต้านDownTtrendได้ก็ถือต่อ หรือซื้อเฉลี่ยในทิศทางขาขึ้น
-กรณีที่SETไม่สามารถผ่านด่านแนวต้านDownTtrendได้ ก็น่าจะShort Againts Port แล้วเก็บเงินสดรอซื้อเพื่อแก้ไขพอร์ตในตอนที่ตลาดเปลี่ยนtrendเป็นขาขึ้นในอนาคต

(หมายเหตุ:ให้น้ำหนักว่ามีโอกาสจะBreak out up Downtrend resistance lineได้ หลังจากเกิดRSI Bullish divergence +Momentum ของช่วงขึ้นยังมีroomอยู่พอสมควร ประกอบกับในพื้นฐานทางคลื่นที่พบว่าลงมาครบ5คลื่นย่อยแล้ว...แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือ มีโอกาสอยู่มากที่จะผ่านแนวต้านDownTrendที่ว่านี้ในสัปดาห์นี้ครับ ขอให้ภายในวันศุกร์26นี้ อย่าปิดขี้เหร่กว่า1338จุด ก็ได้ลุ้นหละครับ)

ข.หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ (สงวนสิทธิ์สำหรับสมาชิก ..ตอนนี้ยังไม่เปิดรับสมาชิกใหม่ครับ)

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดมากที่สุดเกี่ยวกับตลาดหุ้น และความจริงที่คุณคาดไม่ถึง



เทปสัมภาษณ์เปิดตัวโครงการสานฝันเริ่มต้นด้วยพันบาท โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
มีคำกล่าวของนักเลงหุ้น เจ้าของพอร์ตลงทุนระดับหลายพันล้านบาทในตลาดหุ้นไทยว่า “การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากมีความรู้ก็ไม่เสี่ยงหรือเสี่ยงต่ำ หากไม่รู้ ก็คือความเสี่ยง”...

สรุปว่าความไม่รู้นั่นแหละคือความเสี่ยงที่สำคัญ

ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในฐานะที่ผมเป็นที่ปรึกษาการลงทุนมานานกว่า 20 ปีเป็นประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่ยาวนานมากกว่า 15 ปี คลุกคลีวงในหุ้น นักลงทุน เทรดเดอร์ รวมทั้งแมงเม่า แมงหวี่ แมงวัน สารพันแมงมานาน เห็นคนรวยด้วยหุ้นมารุ่นแล้วคนเล่า เห็นคนเจ๊งหุ้นมาคาตามานักต่อนัก อยากถอดประสบการณ์ตรงของผมมาแบไต๋ให้รู้กันว่า... ความไม่รู้คือความเสี่ยงสำคัญนั้นจริงครับ และความไม่รู้จริงหรือรู้มาผิดๆนั้นเป็นความเสี่ยงมากกว่า น่ากลัวโคตรๆ

ผมกลั่นจากเรื่องจริง ประสบการณ์ตรง ตัวจริง เจ็บจริง รวยจริง ในเรื่องของความรู้ไม่จริง ความเชื่อทัศนคติผิดๆ 10 เรื่องที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ (คือมากกว่า 80% ของคนที่เข้ามาเล่นหุ้น) เจ๊ง ล้มเหลว เสียหายในตลาดหุ้น.. พร้อมกับ “ปรับทัศนคติ” (โดยไม่ต้องพาคุณๆเข้าค่ายทหาร 7 วัน) ให้คุณๆมีความรู้ถูกต้อง มีสัมมาทิฎฐิ มีความรู้จริง เหมือนกับที่คนส่วนน้อย (คือราวๆ 20% ของนักลงทุนในตลาดหุ้น) ผู้ประสบความสำเร็จ รวยหุ้น มั่งคั่ง มีความสุขเขาทำกัน คิดกัน

ถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องหุ้น ให้อ่านแล้วทำ หากคุณรู้มางูๆปลาๆ รู้ไม่จริง รู้มาผิดๆ มีมิจฉาทิฎฐิ มีความเชื่อทัศนคติผิดๆให้อ่าน 3 รอบ แล้วคิดใหม่ ทำใหม่ ยังแก้ไขทัน เปลี่ยนจากเจ๊งไปรวยหุ้นได้ ผมเชื่อ!

แต่ถ้าหากคุณคิดว่าคุณรู้ดีแล้ว ผมขอท้าให้คุณอ่าน 1 รอบ แล้วตอบมาตรงๆว่า แน่ใจนะว่าคุณรู้แล้ว..?!

....................................................


ขอประเดิมด้วยเรื่องแรกครับ:1. คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น...

แต่ก่อน สมัยโบราณ ความเข้าใจนี้น่าจะมีส่วนจริง แต่ถึงตอนนี้ไม่ใช่ชัวร์ๆครับ
ความจริงมีอยู่ว่า...
คุณๆสามารถจะเริ่มลงทุน หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เล่นหุ้น” ด้วยเงินแค่พันเดียวเท่านั้นครับ

ถ้าไม่เชื่อก็เดินเข้าไปที่ธนาคารสาขาไหนก็ได้ใกล้บ้าน ถามหากองทุนชื่อ “สานฝันเริ่มต้นที่ 1,000 บาท” คุณก็สามารถเริ่มเล่นหุ้นได้ทันทีครับ

หรือถ้าชอบวิธีเปิดบัญชีใหม่ ซื้อ-ขายหุ้นด้วยตัวเอง ตอนนี้บริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ หรือเรียกกันติดปากว่า “โบรกเกอร์” หลายๆรายเขากำหนดว่าให้เปิดบัญชีสตาร์ทเบาๆที่ 5,000 บาท เท่านั้นแหละครับ เอาเป็นว่าใครมีเงินเดือนหมื่นนึงหรือแม่ค้าตลาดสดมีเงินหมุน พี่วินมอไซค์เงินพอมีเก็บ หรือน้องๆนักศึกษาที่เจียดค่าขนมใส่กระปุกเป็นเงินออม พี่น้องเกษตรกรที่ขายข้าวขายยางขายมันสำปะหลังได้เงินมาเป็นก้อน จะเจียดมาออมผ่านตลาดหุ้นบ้าง ก็ไม่ได้เป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมแต่อย่างใด ง่ายกว่าที่เคยคิดไว้เยอะครับ
แทงหวยสิครับยังต้องใช้เงินหมดเปลืองกว่าเล่นหุ้นเยอะแยะ แต่ละงวดที่ผมเห็นมากับตานี่ปาเข้าไปคนละหลายพันยันหลายหมื่น ข่าวหนังสือพิมพ์ลงบ่อยไปว่า บางคนรวบรวมล็อตเตอรี่เก่ามาทำเป็นวอลล์เปเปอร์ปิดฝาบ้าน มูลค่ารวมๆ 4-5 ล้านบาท (นี่ยังไม่นับหวยใต้ดินที่แทงหนักกว่าลอตเตอรี่รัฐบาลกันอีกนะ)

หวยนี่อย่างที่รู้ๆ กัน เราท่านซื้อเช้าวันหวยออกก็จะมีความฝันและมโนความสุขอยู่ได้แค่ครึ่งค่อนวัน พอซักตอน 4 โมงเย็น หวยออกก็หน้าเหี่ยว แถมหัวโต หาตังค์ไปจ่ายหนี้ค่าหวยให้หายกัน ไม่งั้นเจ้ามือขึ้นบัญชีดำห้ามแทงงวดต่อไป พาลจะลงแดงกันง่ายๆ แต่หากเอาเงินมาเล่นหุ้นนี่มีลุ้น 2 เด้ง ทั้งเงินปันผล และผลกำไรส่วนต่าง เล่นให้เป็นหน่อยเงินต้นอยู่ครบ ต่างกับหวยเห็นๆ

ด้วยความเข้าใจผิดๆเรื่อง “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” นี่เองทำให้คนไทยเกือบ 70 ล้านคนทั่วประเทศ มีที่เปิดบัญชีเล่นหุ้นกันเพียง 1 ล้านบัญชี คือราวๆ ไม่ถึง 1.5% ต่างกันลิบลับกับประเทศเจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาที่มากกว่า 75% ของครัวเรือนประชากรชาวอเมริกันที่มีการลงทุนเล่นหุ้น

ลองคิดดูนะครับหากคนไทยทั่วประเทศพากันเลิกแทงหวย แล้วเปลี่ยนเงินก้อนมหึมานั้นมาลงทุนมาออมผ่านตลาดหุ้น จะเกิดผลดีมหาศาลต่อเศรษฐกิจของชาติขนาดไหน เป็นประโยชน์ต่อครัวเรือน ต่อเศรษฐกิจของแต่ละคนมากมายอย่างไร...คิด!

...............


วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

1ใน10เรื่องที่นักลงทุนมักทำผิดพลาด:อยากได้เงินมาอย่างง่าย ๆ และรวยเร็ว ๆ ด้วยการจับเสือมือเปล่า



ประสบการณ์ของผมที่เป็นประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน และจัดทำรายการโทรทัศน์เรื่องตลาดหุ้นมานานกว่า 20 ปี ทำให้ผมเจอคนมาทุกรูปแบบ และรูปแบบนี้ผมเจอมาเยอะที่สุด

พวกเขาแห่ทะลักมาในยามตลาดหุ้นขึ้น กระทิงเต็มที่ เสาะแสวงหา “หุ้นทีเด็ด”เพื่อเอาไป “แทง”แล้วหวังว่า จะรวยไว ๆ กำไรเฉียบพลันได้เงินมาง่าย ๆ ยิ่งหากไม่ต้องควักเงินควักทุนเลย แต่ใช้วิธีจับเสือมือเปล่า หรือกู้เขามาเล่นก็ยิ่งดีใหญ่

สุดท้ายก็ตายเรียบครับ ไม่เหลือรอดไปซักราย เพราะเริ่มต้นก็ผิดแล้ว ระหว่างกลางก็ผิด บั้นปลายก็คือผิด

เพราะเมื่อคุณคิดจับเสือมือเปล่า ด้วยการซื้อขายแบบหักกลบขายภายในวันเดียว (NET SETTLEMENT) คุณก็มีแรงกดดันให้ต้องหาหุ้น “ทีเด็ด”มาแทง หรือไปแทงพวกตลาด FUTURE (เช่น SET50 FUTURE) หรือออปชั่น หรือ วอร์แรนต์ และ คิริเวทีฟ วอร์แรนต์ ถ้าโชคดีคือมีกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณก็ต้องขายออกไปง่าย ๆ เพราะโดนกดดันให้ต้องขายหักกลบภายในวันเดียว แต่หากโชคร้ายขาดทุนหนัก ๆ แล้วคุณก็ต้องถูกเวลากดดันให้ต้องขายทิ้งก่อนจบวัน และถ้าหากคุณดื้อคิดจะตื๊อถือต่อ คุณก็ต้องกู้เงินโบรกเกอร์มาเล่น หรือวางหลักประกันเพิ่ม

พฤติกรรมในตลาดหุ้นไทย ให้สังเกตให้ดีนะครับ ช่วงเวลาเช้า ๆ ตอนเปิดตลาดใหม่ ๆ ตอน 10-11 โมงเช้า ตลาดหุ้นมักขึ้นเขียวอื๋อ แต่พอตอนท้าย ๆ ตลาดหลัง 4 โมงเย็นไปแล้ว ตลาดหุ้นมักจะร่วงลง หรือตกแรง จนมีการพูดกันว่าเพราะเจอ “แก๊งค์ 4 โมงเย็น” ขาย...ความจริงไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับแต่พฤติกรรมนี้เกิดจากลักษณะนิสัย การเทรดของพวกจับเสือมือเปล่า หรือพวกเทรดแบบ NET SETTLEMENT ซื้อตอนเช้า แล้วไม่เอาหุ้นกลับบ้าน พอ 4 โมงเย็นใกล้จะปิดตลาดเต็มแก่ถูกกดดันหนัก ราคาไหนก็ต้องขาย...ตลาดเลยสะท้อนพฤติกรรมออกมาในลักษณะ เปิดเช้าเขียว ใกล้ปิดตลาดลงแดงประจำ

แบบนี้รับรองได้เลยว่า มีแต่ตายกับตาย สำหรับคนที่เล่นจับเสือมือเปล่าเนื่องจากคุณจะโดนเสือตะปบมากกว่า และที่หวังจะได้เงินง่าย ๆ หรือเงินฟรีจากตลาดหุ้นนั้น มันไม่เคยมีอยู่จริงครับ

หลักเศรษฐศาสตร์นั้นมีกฎเบื้องต้นง่าย ๆ และควรจำหนึ่งคือ “ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” หรือ “THERE IS NO FREE LUNCH” และอีกคำที่มีความหมายเดียวกันคือ “ไม่มีเงินฟรีวางบนโต๊ะรอให้คุณมาหยิบฟรี ๆ(NO CASH ON THE TABLE)

หลักการนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้เพิ่มความระมัดระวังและไม่ประมาทกับโอกาสต่าง ๆ ที่พบ บางครั้งมันดูดีจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ อย่างการร่วงลงอย่างแรงของหุ้นสื่อสารเทคโนโลยีในตลาดหุ้น NASDAQ เมื่อปี ค.ศ.2000 ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต เอช.แฟรงค์ เขียนไว้ในหนังสือ THE ECONOMIC NATURALIST

ส่วนศาสตราจารย์ รากุราม จี.ราจัน (RAGHURAM G. RAJAN) ศาสตราจารย์ด้านการเงินแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก และอดีตหัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของ IMF ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดสูงที่สุดในโลกหลังวิกฤตการเงิน HAMBURGER ในสหรัฐ จากการสำรวจของนิตยาสาร THE ECONOMIST ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ FAULT LINES: HOW HIDDEN FRACTURES STILL THREATEN THE WORLD ECONOMY เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”

โดยเขาได้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 เมื่อสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศสร้อนเงิน จึงได้คิดวิธีขายพันธบัตรตลอดชีพออกมาขาย หลักวิธีก็คือเป็นพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่จนกว่าผู้ที่ซื้อพันธบัตรจะเสียชีวิต โดยมุ่งเป้าหมายไปที่ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง อันได้แก่ ลูกค้าเพศชายวัยประมาณ 50 ปีขึ้น(เพราะอายุขัยคนเราเวลานั้นเกิน 50 ปี ไม่นานก็ตายแล้ว)...แต่ก็ไม่มีกฎห้ามขายกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ

แต่มีนักลงทุนหัวใส โดยเฉพาะกลุ่มนายธนาคารในเจนีวา คิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะ “ทำเงินทำกำไรมหาศาล กำไรชัวร์ ๆ เหมือนกับได้ฟรี” ใช้วิธีเลือกเด็กสาวสุขภาพดีจากตระกูลที่มีประวัติอายุยืนไปซื้อพันธบัตรจากรัฐบาลฝรั่งเศสมา และคำนวณว่า ตลอดชีวิตของเด็กสาวเหล่านี้จะมีรายได้ดอกเบี้ยพันธบัตรรวมกันสูงกว่าราคาต้นทุนพันธบัตรหลายเท่าตัว

จากนั้นนายธนาคารกลุ่มนี้ก็รวบรวมพันธบัตรดังกล่าวไปขายสิทธิในรายรับดอกเบี้ยต่อให้กับพลเมืองชาวเจนีวา นี่ก็ถือว่าเป็นรูปแบบแรก ๆ ของการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ ในโลกการเงิน จึงเท่ากับว่านายแบงก์กลุ่มนี้ได้สร้างเครื่องผลิตเงินขึ้นมา ด้วยการซื้อพันธบัตรราคาต้นทุนถูก ๆ ได้ผลตอบแทนคงที่ในระยะยาว (ตลอดชีวิตของนอมินีเด็กสาว) แล้วขายมันใหม่ในรูปของหลักทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าต้นทุนลิปให้กับนักลงทุนชาวเจนีวา และขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

อย่างไรก็ตามนักลงทุนและนายแบงก์ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง (POLITICAL RISK) และอาจเป็นเหตุให้รัฐบาลกษัตริย์ของฝรั่งเศสอาจผิดนัดชำระหนี้ได้ แล้วก็มีเหตุจนได้ เมื่อเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส (FRENCH REVOLUTION) ในปี ค.ศ.1789 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกคณะปฏิวัติประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโนติน สถาบันกษัตริย์ถูกโค่นล้ม และสถาปนารัฐบาลระบอบสาธารณรัฐขึ้นแทนที่ ไม่นานนักรัฐบาลของคณะปฏิวัติก็เริ่มจ่ายดอกเบี้ยช้ากว่าที่สัญญาไว้ สุดท้ายก็จ่ายในสกุลเงินไร้ค่า นายธนาคารเจนีวาซึ่งเป็นหนี้นักลงทุนในสกุลเงินสวิสที่แข็งกว่าก็ไม่มีปัญญาชำระคืน จึงผิดนัดชำระหนี้ ส่วนนักลงทุนที่เคยพากันแห่ซื้อ โดยจำนวนมากที่กู้เงินมาซื้อเพราะคิดว่าพันธบัตรรัฐบาลกษัตริย์ฝรั่งเศสเป็น “ของตาย” ก็จึงต้อง “เจ๊ง”ไปตามระเบียบ

ศาสตราจารย์ ราจัน บอกว่าเรื่องเก่าเล่าใหม่นี้ก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งวิกฤต HAMBURGER CRISIS ของอเมริกาเที่ยวล่าสุดนี้ด้วย

สรุปก็คือว่า ไม่มีเงินฟรี ๆ ในตลาดหุ้นแน่ครับ ไม่มี “ของตาย” ที่มีแต่ทางได้โดยไร้ความเสี่ยง ดังนั้นหากคุณคิดว่าจะมาทำเงินในตลาดหุ้นแบบหวังจะหาเงินฟรีหรือหาเงินง่าย ๆ นั้นมันก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว

เมื่อทำผิดแต่ต้นเสียแล้ว กระบวนการระหว่างทางก็เลยผิดอีก เพราะจะผลักดันให้คุณควานหา “หุ้นเด็ด”ประเภทข่าวลือข่าวลับข่าวลวง หรือตราสารที่เสี่ยงสูงมาก ๆ อย่างตลาด FUTURES (SET50 FUTURES,GOLD FUTURES)หรือวอร์แรนต์,คิริเวทิฟ วอร์แรนต์ หรือ ออปชั่นโดยใช้เงินกู้ (หรือมาร์จิ้น) จากโบรกเกอร์มา TRADE

ตอนปลายทางก็ผิดอีก เพราะกำไรนิดหน่อยคุณก็ต้องขายแล้วโดยเฉพาะหากคุณคิดเล่นหักกลบในวันเดียวแบบจับเสือมือเปล่า แต่ตอนผิดทางมาคุณต้องถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (CALL MARGIN) หรือขายตัดขาดทุนช้าเกินไปเมื่อผิดทาง

ท้ายสุดเมื่อคุณยืนขาตายทำอะไรไม่ถูก ก็ยังเจอ โบรกเกอร์บังคับขาย (FORCE SELL) อีกซ้ำ

ดังนั้นจะดีกว่าหากเปลี่ยนทัศนคติและลักษณะนิสัยที่ผิด ๆ ดังกล่าวนี้ให้เลิกคิดได้เลย ไม่มีเงินฟรี ๆ ในตลาดหุ้น, ไม่มีเงินง่าย ๆ ในตลาดหุ้น, ไม่มีของตายที่มีแต่ได้โดยไร้ความเสี่ยง ให้เลิกคิดได้เลยเรื่องจะมาจับเสือมือเปล่า เพราะผมยังไม่เคยได้ยินว่าใครประสบความสำเร็จร่ำรวยด้วยวิธีดังกล่าวซักราย (สารภาพก็ได้ว่า ผมเองในยุคที่มั่นใจในตัวเองเกิน 100 นั้น เคยบ้าบิ่นทดลองดู สรุปคือ แพ้ยับเยินครับ)

มีแต่ต้องแก้ไขทัศนคติ และแก้ไขพฤติกรรมนิสัยเสียใหม่ให้เห็นว่าตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่มีทั้งความเสี่ยง และโอกาส ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องดัดแปลงตนเองให้เป็นมืออาชีพ สร้างความรู้ หาประสบการณ์ เพิ่มพูนทักษะในการ TRADE หรือการลงทุน ทำได้ดังนี้โอกาสรวยก็มากขึ้น ความเสี่ยงที่จะเสียหายขาดทุนก็ลดลงครับ

STOCK TIPS : 5 นักลงทุนที่ล้มเหลว มีทัศนคติที่ผิดว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งที่จะมาหาเงินได้ง่าย ๆ หรือได้เงินไปฟรี ๆ ด้วยวิธีจับเสือมือเปล่า แต่ผลลัพธ์นั้นล้มเหลว

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มีทัศนคติและลักษณะนิสัยตรงกันข้าม และมีความเป็นมืออาชีพ ที่จะประเมินและประพฤติปฏิบัติโดยเข้าใจหลักการเรื่อง “โอกาสและความเสี่ยง” โดยจำกัดความเสี่ยงให้น้อยลง และเพิ่มโอกาสให้สูงขึ้น

หมายเหตุ:คัดมาจากตอนหนึ่งของหนังสือ"จิตวิทยาตลาดหุ้น:ฉีกกฎลงทุนโลกตะลึง" ซึ่งผมกำลังจัดทำต้นฉบับรอตีพิมพ์อยู่ครับ

ทองคำ VS น้ำมัน หันหน้าไปคนละทาง สร้างดาวคนละดวง


1.ล่าสุดราคาSpot Goldสามารถจะตีด่านแนวต้านสำคัญ Down Trend Resistance บริเวณ1200$แตกแล้วครับ ก็แปลว่าขึ้นมารอบนี้ไม่ใช่แค่เพียงReboundแล้วหละครับ แต่เป็นการเปลี่ยนTrendไปเลย คือจะกลับเป็นทิศทางขาขึ้น หรืออย่างน้อยๆก็คือแกว่งตัวขึ้น(Side way up) เป้าขึ้นไปก็มีตั้งแต่1250ถัดไป1335แล้วก็ด่านใหญ่ๆหน่อย1380$(มากกว่านี้มีไหม? คำตอบคือมีครับ เดี๋ยวค่้อยไปว่ากันข้างหน้า)...ขอแสดงความยินดีกับชาวดอยทั้งหลาย ท่านมีโอกาสจะหลุดแล้วครับ
2.ตรงกันข้ามกับน้ำมันโลก ล่าสุดWTIร่วงลงทำNew low(อีกแล้วครับท่าน) คือทำAll time lowจนไม่มีใครถือเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตื่นเต้นกันไปแล้ว (โถ!น่าสงสาร...) เป้าตกในชาร์ตนี้ก็แถวๆ25$ครับ(ตัวเลขคือ24.97$) ..แนวรับที่ว่านี้เรียกว่าDownTrend Line support(ตรงกันข้ามกับDownTrend line resistanceที่ผมกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้)

แปลเป็นไทยคือหากไม่หลุดด่านแนวรับนี้ ถึงจะไปลุ้นไปหวังกันเรื่องว่าจะเป็นการทำBottom outแล้วเกิดการกลับทิศกลับทางของแนวโน้มที่เรียกว่าreversal pattern..แต่หากยังทะลุหลุดด่านนี้ลงไปก็แสดงว่ามันยังจะลงกันต่อไปอีก ก็คงไป20$อย่างที่พูดๆกันนั่นแหละครับ

แต่ในทางกลยุทธ์แล้ว ข่าวร้ายที่เป็นไปตามคาดนั้น ไม่มีใครเขาตื่นเต้นกันหรอกครับ ดังนั้นท่านจึงจะได้เห็นว่าหุ้นน้ำมันแบบPTT PTTEPมันก็เลยไม่ตกกันแล้ว หรือถึงจะตกมา ก็มีคนรอช้อนกันอยู่บาน

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ตื่นทอง!! ระวังหน่อยแล้วกันครับ จะหาว่าไม่เตือนกัน




มันชนะขึ้นไป ก็ต้องตามไปทางซื้อ
มันแพ้ลงมา ก็ต้องกระทืบซ้ำ
ความจริงของโลกทุนนิยมนั้นโหดร้าย และไม่เหลืออะไรไว้ให้โรแมนติกกันนักหรอก
..............



1.ผมเคยฟันธงไว้ว่าทองคำโลก หรือspot goldจะพีคยอดดอยแถวๆ1900$ในช่วงปี2010 เพราะมันวิ่งมาคลื่นที่5แล้ว ครับ.. พูดไปเหมือนโม้ ผมถูกเพะเลย
2.ต่อมาเมื่อมันเด้งขึ้นมาแถวๆ1800$ ผมฟันธงว่านั่นคือคลื่นbและจะฟอร์มตัวลงคลื่นC ให้ขายดีกว่าจะไม่เหลือกางเกงใน ครับ..ผมถูกอีกครั้ง

ผมฟันธงว่าเป้าลงด่านแรกๆคือ1280-1360$ ซึ่งก็คือเขต1ใน3ของfibonacci retracementนะครับ ...จากนั้นจะตกมาที่1080$

แน่นอนว่าผมถูกอีกครั้งหนึ่ง เพรา่ะก่อนสิ้นปีนี้เองมันลงมา1046$

3.ที่ยังต้องรอลุ้นก็คือที่่ผมทำนายเอาไว้เมื่อราว5ปีก่อนว่า เป้าหมายการร่วงลงคลื่นCของทองคำจะมีปลายทางบริเวณ800-880$(ซึ่งก็คือเขต2ใน3 หรือ61.80% retracement) หรือย้อนลงไปได้ลึกถึง600$ในกรณี the worst case

นี่แหละปัญหาหละครับ! เนื่องจากตอนนี้ทองคำเด้งขึ้นมาบริเวณปัจจุบันนี้ คือบริเวณ1190ถึง1200$นี่มันเป็นแนวต้านDowntrendที่มีนัยสำคัญนะครับ

กล่าวก็คือ พิจารณาได้เป็น2แนวทางดังนี้
ข้อ ก.นี่เป็นแง่ดีนะครับ กล่าวคือหากในสัปดาห์นี้ ขึ้นไปผ่านด่านนี้ขาดๆ(คือแถวๆ1190-1200$)ขาดๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าSpot Goldทำbottom outไปแล้ว และจะเปลี่ยนTrend จากที่เคยเป็นขาลงมาตั้ง5-6ปีแล้วนั้น กลับไปเป็นขาขึ้น(Uptrend) หรืออย่างน้อยๆก็ แกว่งตัวขึ้น(Side way up)...พูดง่ายๆว่าที่ผมฟันธงไว้4-5ปีมาแล้วนั้น ผิดครับ ธงหัก หน้าแหก หมอไม่รับเย็บ
ข้อ ข.แต่หากเด้งขึ้นไปไม่รอดด่านนี้(แถวๆ1200$นี่แหละ) แล้วดันลง และลงไปเรื่อยๆ แล้วไปหลุดพลั๊วะด่าน1145$ลงไป ก็คือการBreak out down รูปแบบBearish flag แสดงว่าที่ผมฟันธงเอาไว้4-5ปีก่อนนั้น ก็ยังมีให้สยองกันต่อไป ต้องไหลลงคลื่นC ตั้งแต่880-800หรือ600$กันต่อไป
ว่าไปแล้วผมนึกอยากให้ผมผิดมากกว่านะครับ เพราะทองก็ลงมาหลายปีแล้ว ลงกันจนอ้วก(คนติดทองนะครับที่อ้วก) ผมไม่อยากถูกอีกแล้ว...
แต่เรื่องพรรค์อย่างนี้ มันไม่ได้ขึ้นกับว่าผมอยาก หรือไม่อยากผิด แต่มันเป็นเรื่องของทิศทางแนวโน้มของมัน ก็ต้องLet it be
พวกเราประชาชนชาวTraderก็มีหน้าที่ต้องFollow Trendครับ
มันชนะขึ้นไป ก็ต้องตามไปทางซื้อ
มันแพ้ลงมา ก็ต้องกระทืบซ้ำ


ความจริงของโลกทุนนิยมนั้นโหดร้าย และไม่เหลืออะไรไว้ให้โรแมนติกกันนักหรอกครับ...ก็นึกเสียดายอยู่หน่อยว่า เหมือนเราเป็นคนไร้หัวใจ

...................

เรื่องเกี่ยวเนื่อง บทความครั้งก่อน:

หากคิดขายหุ้นไปช้อนทอง ฟังทางนี้ก่อน นรก อิส คัมมิ่ง รู้จักคลื่นCกันไหมครับ?!!(เปิดจดหมายน้อยถึงกูรูทองเมืองไทยเมื่อ2ปีก่อน ผมว่าทองพีคไปแล้วครับที่1927$และจะร่วงครั้งใหญ่ได้ต่อไป)


วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์:หากคิดขายหุ้นไปช้อนทอง ฟังทางนี้ก่อน นรก อิส คัมมิ่ง รู้จักคลื่นCกันไหมครับ?!!(เปิดจดหมายน้อยถึงกูรูทองเมืองไทยเมื่อ2ปีก่อน ผมว่าทองพีคไปแล้วครับที่1927$และจะร่วงครั้งใหญ่ได้ต่อไป)



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร.029275800 087-7174979 081-8311611 http://www.facebook.com/tontancorp 


ภาพอดีตของตลาดหุ้นไทยใครจะคิดตกจาก1800เหลือ200จุด-คลื่นCก็คือการร่วงลงลิฟต์ ไม่เปิดโอกาสให้คนที่ข้อนซื้อได้ทำกำไรเลย..ด้านบนนี้เป็นภาพของหุ้นไทยตอนปี2540ครับ หลังจากไปพีคที่่คลื่น5บริเวณ 1789 จุดแล้วก็ฟอร์มตัวในคลื่นa-bระหว่าง1200กับ1500จุดอยู่นานพอสมควร พอหลุดฐานของคลื่นaเขต1200ก็ร่วงลงในคลื่นcมาทำจุดต่ำสุด200จุด
ทองคำโลกหากผมพยากรณ์ว่าจะลงไปลึกกว่า700ใครจะไปเชื่อ?!-ทองคำหลังจากไปทำพีคคลื่น5บริเวณ1920$แล้วก็ฟอร์มตัวในคลื่นA-Bระหว่าง1500ไปถึง1800$มาระยะหนึ่ง ล่าสุดหลุดฐานคลื่นaเขต1500$ ก็จึงอาจเริ่มนับ1เข้าสู่Wave C

นี่อาจไม่ใช่เวลาช้อน แต่คือเวลาstop loss หากจะบอกว่าปลายทางของWave Cอาจลึกกว่า700$บางทีอาจทำให้คุณควรลังเลที่จะเข้าช้อนซื้อ หรือหากติดดอยไว้ก็จะได้กล้าจะตัดใจกันก็ได้นะครับ..?!

งื่อนไขที่คำพยากรณ์นี้จะถูกต้องคือ 1.ทองมีพีคคลื่น5ไปแล้วที่1927$ 2.ทำคลื่นaและbไปแล้วในกรอบ1500ถึง1800$ตลอดปีเศษที่ผ่านมา 3.ลงไปเที่ยวนี้พังด่านย่อยๆตามแนวต่างๆคือ1400 1285 1000และลงไปลึกกว่าคลื่น4เขต700แต่ไม้ลึกกว่าคลื่น2บริเวณ300$ 4.ผมต้องนับคลื่นใหญ่ๆที่ว่ามาแล้วนั้นไม่ผิดด้วย(ผมไม่มีconflict of interestใดๆกับทองคำ เจตนาในการpostนี้คือกลัวคนแห่มาช้อนเพราะนึกว่าลงมามากแล้ว กลัวจะติดกันนั่นแหละ)

*********
จดหมายฉบับนี้ผมส่งถึงบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อวงการทองคำท่านหนึ่ง(เพื่อความเหมาะสม ผมขอเรียกท่านผู้นี้ว่า"ด๊อกเตอร์โกลด์"ของเมืองไทย เมื่อวันที่24กันยายน 2554(เวลานั้นspot goldขึ้นไป1927$)ลองอ่านกันดูนะครับ

urgent call from Nat ทองๆ

-COMEX GOLDระยะกลาง ทองร่วงลงมาหลังมีภาพnegativeแบบหอคอยคู่เขต1920$ จะมีเป้าหมายการตกของเส้นแนวรับUptrend lineของWEEKLY CHART~1450-1550$โดยประมาณ อาจฟอร์มตัวเป็นคลื่นaก่อนฟื้นไปทำb

-Elliot Waveของทอง เป็นไปได้หรือไม่ว่าภาพระยะยาวอาจทำพีคไปแล้วในยอดคลื่นที่5 เพราะsentimentของMass phsycologyนั้นเกิดบรรยากาศ”ตื่นทอง”อย่างสมบูรณ์ และพร้อมจะเปลี่ยนเป็นขาลงอย่างสมบูรณ์ และเมื่อใดหลุดฐานของคลื่นA ก็เป็นไปได้ที่จะลงคลื่นC

-ตามทฤษฎี่คลื่นElliot waveหากพีคที่คลื่น5ไปแล้วลงสู่คลื่นcจะเป็นการตกหนักอย่างที่คาดไม่ถึง

-หากด๊อกเตอร์โกลด์สนใจเรื่องทฤษฎีElliot wave theoryก็ลองเสิร์ซหาอ่านในgoogleเพิ่มเติมได้ครับ และหาชื่อ"ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์,กราฟเทคนิคง่ายนิดเ้ดียว" ผมแลกเปลี่ยนมาในทางวิชาการ และโดยความรักใคร่นับถือ หากมีอะไรจะแลกเปลี่ยนก็โดยความยินดีครับ/ณัฏฐ์ 24 กันยายน 2554

(ผมรู้สึกดีขึ้นเหมือนกันที่ด๊อกเตอร์โกลด์พาคนหันมาอยู่ช็อตตั้งแต่เขต1700$เป็นต้นมาครับ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็นับว่าทันการณ์)