วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ความเป็นอนิจจังของราคาน้ำมัน ความเป็นจริงของโลกทุนนิยม ความลับในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
29 มกราคม 2559
.................
เรื่องน้ำมันโลกกระเตื้องขึ้นล่าสุดนี่ ผมไม่ได้แปลกใจอะไรนะครับ แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับDemand & Supplyอะไรหรอก ก็พูดๆกันไปงั้น แต่ผมรู้สึกสนุกดีที่พี่เทพ(PTTEP)โชว์ป๋า ควักจ่ายปันผล ทั้งที่ขาดทุน3หมื่นล้าน...นายแน่มาก จับมือหน่อย

คือก่อนนี้ ผมได้นำเสนอไปว่างี้นะครับว่า เรื่องราคาน้ำมันโลกที่ร่วงลงจาก100กว่าเหรียญเมื่อปีกลาย(นี่เอง)ลงมาแถวๆ30เหรียญ+/-นี่ มันธรรมชาติที่ไหน!?...มันบ้าครับ พูดตรงๆ

หมายถึงถ้าเรายังมีสติปัญญาสมประกอบ เป็นRational Manเราต้องรู้ว่ามันบ้า มันอธิบายด้วยหลักเหตุผลยาก แม้จะลากตำราเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยอุปสงค์-อุปทานเข้ามาอธิบายเป็นฉากๆ...ประทานโทษ คุณเชื่อเรื่องที่ตัวเองอธิบายเหรอครับ...ถาม?

ผมอธิบายแบบบ้านๆนี่แหละ เหมือนที่ได้อธิบายมาก่อนหน้านี้แล้วคือ

1.น้ำมันลงมาแถว30$นี่ถือว่าเขตBottom Lineแล้วครับ ให้ดูในชาร์ตนี้หละครับ เขตแถวๆนี้มันเป็นฐานของน้ำมันโลกแล้ว และถึงจะลงไปอีกก็คือ25หรือ20$ แล้วยังไง Who care? ก็ในเมื่อมันลงมาจาก110$ แสดงว่าDownSideRiskมากๆแล้วครับ...โธ่จะลงอีก5เหรียญ 10เหรียญก็ลงไปเหอะ...หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว

2.ผมเสนอไปว่าการที่น้ำมันแพงหรือถูกนั้น ไม่ใช่่เรื่องDemand vs Supplyเป็นหลักที่อ้างๆกันหรอกครับ แต่ขึ้นกับเฮดจ์ฟันด์ หรือกองทุนเก็งกำไรในนิวยอร์กที่ลากขึ้น ทุบลงหากำไร เป็นหลักครับ

ไม่งั้้นอย่างรอบก่อนตอนปี2008ต่อช่วงปี2009 ราคาน้ำมันโลกมันจะตกมาจาก147$ลงมา33$ได้ไงภายในแค่6เดือน...บ้าแล้ว หละครับ จู่ๆน้ำมันท่วมโลกขึ้นมา แล้วโรงงานร้านค้าอุตสาหกรรมก็มีปริมาณความต้องการหดวูบลง2-3เท่าตัวงั้นหละสิ...มันไม่ใช่ คุณก็รู้ ผมก็รู้ ใครมันก็รู้

แบบนี้มันคือเก็งกำไรครับ....ดังนั้น เที่ยวนี้ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ..มันไม่ใช่ว่าOPECพากันเพิ่มกำลังผลิตจนล้นโลก แล้วเมืองจีนก็ปิดโรงงานไปซะหมด รถตอนนี้ก็ใช้ไฟฟ้ากันหมดแล้วซะที่ไหน

เอ่อ..ผมหันมาดูปฏิทินก็เจอเรื่องเหมือน"บังเอิญ"อยู่เรื่องนึง คือตอนตกใหญ่ปี2008จาก147ลงมา33$นั้น ปีนั้นมีเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกานะครับ มาปีนี้2016ก็มีเลือกตั้งประธานาธิบดีเมกาเหมือนกัน

ผมก็เลยแค่สงสัยเล่นๆนี่แหละว่า พวกคงจะมาShortน้ำมันหาทุนไปรณรงค์เลือกตั้ง(เหมือนเดิม)นั่นแหละมั้ง เพราะกลุ่มทุนน้ำมัน(ซึ่งเวลานี้ไม่ใช่เจ้าของบ่อน้ำมันTEXASแล้วหละ แต่ใส่สูทผูกไทอิแทเลี่ยนโก้อยู่ในนิวยอร์ก)นี่คือสปอนเซอร์รายใหญ่ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีครับ ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าแคมเปญเลือกตั้่งนี้ใช้่เงินยังกับกระดาษ

ดังนั้นการที่พี่เทพ โชว์ป๋าควักปันผล โดยเอากำไรสะสมมาจ่าย ทั้งที่เวลานี้ตูดขาดติดลบ3หมื่นล้าน นับว่าได้ใจผมจริงๆ...ผมว่าพี่เทพเขามองออกครับ...

แหม่...พ้นเทศกาลช็อตน้ำมันไปแล้ว เดี๋ยวพวกเฮดจ์ฟันด์มันก็กลับมาCoverShortครับ

..............


5 เหตุผล ..ทำไม? คุณจึงไม่ควรพลาดหลักสูตรบันได3ขั้นปั้นเซียนหุ้นรุ่น#2



1.ได้เรียนตั้งแต่ไม่เป็น ไม่รู้เรื่อง ไปจนเก่ง เพราะสอนตั้งแต่ปูพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น ไปถึงขั้นเทพ และพาลงมือในภาคปฏิบัติ  ใช้เวลากระชับเพียง3วัน แล้วนำไปใช้ทำกำไรตลอดชีพ

2.มั่นใจได้ว่าเรียนแล้วไม่ลืมไม่ทิ้งไม่เสียของ แต่นำไปใช้งานได้จริงๆ เพราะโหลดโปรแกรมกราฟให้ไปฝึกมือต่อที่บ้าน และสอนออนไลน์เพิ่มเติม ผ่านทางกรุ๊ปLINE และห้องสอนหุ้นออนไลน์Byณัฐวุฒิ ทางFacebook เพิ่มจนชำนาญ

3.สอนสนุกโดยอาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ซึ่งถนัดที่สุดในการย่อยเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆ มีผู้ผ่านการผึกอบรมเป็นนักลงทุน/เทรดเดอร์ที่มีคุณภาพมาแล้วนับหมื่นคน

4.มีคำยืนยันจากผู้เคยเรียนหลักสูตรนี้มาแล้วว่า เรียนเข้าใจง่าย ได้ประโยชน์เกินคุ้มค่า สามารถนำไปใช้ค้นหาหุ้นเด่นด้วยตนเอง เข้าซื้อได้ถูกทาง และขายทำกำไรออกได้ถูกจังหวะจริงๆ

5.ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงในตลาด ดังนั้นนอกจากจะได้ความรู้ติดตัวแล้ว ยังจะได้ค้นพบหุ้นเด่นเล่นให้รวยจากงานนี้เป็นของแถมสุดพิเศษอีกด้วย (หลายท่านจึงรู้สึกเหมือนกับว่าได้มาเรียนฟรี)

5เหตุผลข้างต้นนั้นสรุปเหลือเพียงเหตุผลเดียว คือคุณค่าที่เกินกว่าคำว่าคุ้มค่า สิ่งที่คุณต้องทำในตอนนี้ก็เพียงแค่ จองที่นั่งให้ทัน เพราะมันเต็มเร็วมาก

สอบถามสำรองที่นั่ง หรือขอรายละเอียดเพิ่มเติม
มือถือ 095-581-5111 LINE ID : tontancorp
อีเมล์ tontan2008@gmail.com โทร 02-927-5800

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

บทที่ 12 -ไม่อยากตกเป็นเหยื่อ อย่าหลงเชื่อนักวิเคราะห์ (ไปซะหมด)


โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์

ความต่อไปนี้ผมคัดมาจากตอนหนึ่งในหนังสือ"จิตวิทยาตลาดหุ้น:ฉีกกฎลงทุนโลกตะลึง"ที่กำลังจัดทำต้นฉบับ เตรียมเป็นหนังสือเล่มในเร็วๆนี้ เชิญอ่านครับ
..............

จากกรณีศึกษาของ โจเซฟ ลูกาเรลลิ นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล พบว่า คำแนะนำของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เอียงไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าใจหาย โดยในปี ค.ศ.2000 มีคำแนะนำจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รวมทั้งสิ้น 28,000 ชิ้น ต่อหุ้นของบริษัทอเมริกันในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ผลการศึกษาพบว่ามากกว่า 90%ของคำแนะนำได้ให้นักลงทุน “ซื้อหุ้นเพิ่มให้มากที่สุด, ซื้อ, หรือถือไว้” ในขณะที่มีคำแนะนำให้ “ขาย” น้อยกว่า 1%ของคำแนะนำทั้งหมดในปีนั้น

อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้รับทราบกันดีไปแล้วก็คือ ได้เกิดภาวะฟองสบู่หุ้นด็อทคอมแตก ในปี 2000นั่นเอง นอกจากหุ้นเทคโนโลยีสื่อสารในตลาด NASDAQ จะร่วงโลกาวินาศแล้วก็ยังลุกลามไปยังหุ้นหมวดอื่น ๆ ให้ราคาลงตาม และหลายบริษัทราคาหุ้นลดลงเกินกว่าครึ่งด้วยซ้ำ

บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ NEW YORK TIME ฉบับวันที่ 31 ธันวาคม ปี2000 ในเรื่องคำแนะนำของนักวิเคราะห์อ้างอิงจากบริษัทวิจัยการลงทุน ZACKS INVESTMENT RESEARCH ระบุทำนองเดียวกันว่า จากคำแนะนำ 8,000 ชิ้นนี้ออกโดยนักวิเคราะห์ครอบคลุมบริษัทต่าง ๆ ในดัชนี S&P 500 นั้นมีเพียงแค่ 29 ชิ้นเท่านั้นที่เป็นคำแนะนำให้ขายหุ้น

ย้อนหลังไปที่บทความหนึ่งของหนังสือพิมพ์ FINANCIAL WORLD ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1980 ก็ระบุว่านักวิเคราะห์แทบจะไม่เคยออกคำแนะนำให้ขายหุ้นเลยโดยจำกัดการแนะนำส่วนใหญ่ของพวกเขาไว้ในการซื้อหุ้นเท่านั้น และเป็นการยืนยันผลการสำรวจที่ FINANCIALWORLDเคยทำไว้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 ที่พบว่ามีเพียงส่วนน้อยของคำแนะนำของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท คือเพียง 1 ใน 10 ของรายงานเท่านั้นที่แนะนำให้ “ขาย”

ที่แย่กว่านั้นคือในระหว่างตลาดหมีของปี 2000 หุ้นเทคโนโลยีสื่อสารอินเตอร์เน็ตร่วงลงหนัก บรรดานักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทก็ยังคงออกคำแนะนำให้ “ซื้อ”และควรซื้ออย่างยิ่ง!... ในเดือนตุลาคมปี 2000 นั้นบริษัทโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งถึงกับลงโฆษณาเต็มหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ WALL STREET JOURNALว่า “ตอนนี้คือ 1 ใน 10 ของช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่จะถือหุ้น” แต่ดังที่เราทราบดี ราคาหุ้นยังร่วงต่อเนื่องอีกในปี 2001 และ 2002 ทำให้ในความเป็นจริงแล้วเป็น 1 ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เหตุการณ์ THE GREAT DEPRESSION เมื่อปี ค.ศ.1929 โดยหุ้นเทคโนโลยีสื่อสารอินเตอร์เน็ตร่วงลงไปถึง 90%หรือมากกว่านั้น
อาเธอร์ เลวิตต์ ประธานบอร์ดตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ NEW YORK TIME ฉบับวันที่ 31 ธันวาคม ปี2000 ถึงสาเหตุที่เป็นดังนี้ว่า “การแข่งขันในธุรกิจวาณิชธนกิจมันรุนแรงมาก ดังนั้นคำแนะนำให้ขายหุ้นบริษัทที่เป็นลูกค้าจึงจะพบได้น้อยมาก”...สรุปว่าโบรกเกอร์มีผลประโยชน์ทับซ้อน (CONFLICT OF INTEREST) นั่นแหละครับ

ขณะที่ศาสตราจารย์ ดร.โรเบิร์ต เอช.แฟรงค์ (ROBERT H. FRANK) นักเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย คอร์เนล เขียนถึงกรณีนี้ไว้ในหนังสือ THE ECONOMIC NATURALIST ของเขาว่า เหตุที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไม่ค่อยแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นแต่ลำเอียงไปในทางสนับสนุนให้ซื้อหุ้นเพิ่มทั้ง ๆ ที่ควรแนะนำขายมากกว่านั้นก็เนื่องจากว่า

1.นักวิเคราะห์มักเป็นพวกมองโลกในแง่ดี (OPTIMISM) กับภาวการณ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นในอนาคต ซึ่งนับว่าคำแนะนำของนักวิเคราะห์ยังคงแสดงความบิดเบือนอยู่

2.นักวิเคราะห์กลัวตกเป็นเหยื่อของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กับภาวะกระทิงเทียม(BULL TRAP) ของตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างไร้เหตุผล เช่นเดียวกับที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อปลายศตวรรษที่ 1990 ราคาหุ้นขึ้นจากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

3.หุ้นของบริษัทที่นักวิเคราะห์ทำการวิเคราะห์วิจัยนั้น บ่อยครั้งก็พบว่า หุ้นเหล่านั้นเป็นลูกค้าของบริษัทโบรกเกอร์ที่นักวิเคราะห์สังกัดอยู่ หรือไม่ก็มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าที่ต้องให้บริการกันต่อไปในอนาคต

ผมยกตัวอย่างให้ชัดเจนนะครับ เป็นต้นว่า บริษัทโบรกเกอร์ โดยฝ่ายวาณิชธนกิจเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นของบริษัทหนึ่งมาขายหุ้น IPOเพื่อเข้าตลาดเป็นหุ้นน้องใหม่ หรือในอนาคต กิจการของบริษัทนั้นมีความจำเป็นต้องใช้บริการวาณิชธนกิจอีกมากจาก โบรกเกอร์ เช่น การขายหุ้นเพิ่มทุน, การออกหุ้นกู้, การควบรวมกิจการ, การซื้อหรือขายกิจการ ซึ่งจะทำให้บริษัทโบรกเกอร์ได้ค่าธรรมเนียมสารพัด ดังนั้นบริษัทโบรกเกอร์ต่าง ๆ จึงพยายามรักษาสัมพันธภาพอันดีไว้กับบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ

ก็แน่แหละว่ารวมไปถึง การวิเคราะห์วิจัยบริษัทต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย เมื่อต้องการประเมินคุณค่า และคำแนะนำ เผยแพร่ต่อนักลงทุนคนเล่นหุ้นมันจึงเป็นที่มาของคำแนะนำที่ “ลำเอียง” นั้น ดังที่ อาเธอร์ เลวิตต์ ประธานบอร์ดตลาดหุ้นสหรัฐพูดว่า “การแข่งขันในธุรกิจวาณิชธนกิจมันรุนแรงมาก ดังนั้นคำแนะนำให้ขายหุ้นที่เป็นลูกค้าจึงพบได้น้อยมาก”

4.เมื่อบริษัทโบรกเกอร์ ที่เป็นนายจ้างของนักวิเคราะห์ต้องการเอาใจบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหุ้นด้วยการแนะนำให้ “ซื้อ” ก็มีผลต่อการตัดสินใจของนักวิเคราะห์ ให้เลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุด คือประเมินว่านักวิเคราะห์ของบริษัทโบรกเกอร์คู่แข่งจะให้คำแนะนำไปทางใด? ก็จะออกบทวิเคราะห์ให้คำแนะนำไปในทิศทางเดียวกับนักวิเคราะห์รายอื่น ๆ เพราะรู้ดีว่า ความสนใจของบริษัทโบรกเกอร์ผู้เป็นนายจ้างของนักวิเคราะห์รายอื่น ๆ ก็เหมือนกับบริษัทโบรกเกอร์ของตัวเองต้องการให้คำแนะนำออกมาในทิศทางที่สนับสนุนให้นักลงทุน “ซื้อ”มากกว่า “ขาย”

ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในการออกคำแนะนำ เพราะความที่สวนใหญ่ก็แนะนำไปทางเดียวกันคือ “ซื้อ” หากผิดพลาดมาราคาหุ้นตก นักวิเคราะห์ก็รู้ดีว่าการตำหนิจะถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า นักวิเคราะห์ทุกรายก็ทำนายผิดเหมือนกันหมด

แต่ถ้านักวิเคราะห์รายนั้นเป็นเพียงแค่รายเดียวที่ให้คำแนะนำ “ขาย” ขณะที่รายอื่น ๆ แนะนำ”ซื้อ” และปรากฏว่าราคาหุ้นขึ้น แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้นักวิเคราะห์รายนั้นกลายเป็น “ผู้แพ้” ทันที เพราะไม่เพียงแค่แนะนำผิดเท่านั้น แต่ในอนาคตบริษัทโบรกเกอร์นายจ้างก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากบริษัทที่มีศักยภาพมาเป็นลูกค้าอีกต่อไป สุดท้ายนักวิเคราะห์รายนั้นก็เสี่ยงที่จะตกงานได้

ขณะที่ WILLIAM J.O’NEIL เขียนไว้ในหนังสือ HOW TO MAKE MONEY IN STOCK ชี้ว่า จุดด้อยของนักวิเคราะห์หุ้นก็คือ

1.มีประสบการณ์น้อย -หลายคนในตอนเกิดฟองสบู่ด็อทคอมแตกในปี 2000 นั้นอยู่ในธุรกิจมาไม่ถึง 10 ปี พวกเขาจึงไม่เคยเจอตลาดหมีที่เลวร้ายในปี 1987 (เกิดวิกฤตการณ์ BLACK MONDAY) หรือย้อนไปในช่วงปี 1974-1975 หรือปี 1962 มาก่อน

2.การขาดความเข้าใจในเรื่องตลาดโดยรวม -เนื่องจากบริษัทโบรกเกอร์ได้แข่งขันกันให้ฝ่ายวิเคราะห์วิจัยหลักทรัพย์แบ่งงานกันทำ โดยแยกย่อยออกไปเป็นนักวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม เช่น นักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร, นักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและน้ำมัน, นักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่ง, นักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และโรงพยาบาล ฯลฯ มันทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ก็จริง แต่พวกเขาจะขาดความเข้าใจในเรื่องตลาดรวม และอะไรที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปหรือตกลงมา

“บางทีนี่อาจจะอธิบายได้ว่าทำไมนักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทุกคนที่ปรากฏตัวในช่องทีวีเครือข่าย CNBC หลังจากเดือนกันยายนปี 2000 ถึงได้แนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มไฮเทคตลอดทางขาลง จนหุ้นลงไปถึง 80-90% และอีกครั้งในปี ค.ศ.2008 ตอนเกิด HAMBURGER CRISIS นักวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน และธนาคารก็แนะนำซื้อหุ้น 2 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ในช่วงขาลงของพวกมัน เพราะว่าพวกมันดูเหมือนจะราคาถูก จากนั้นพวกเขาก็ได้เจอราคาที่ถูกกว่านั้นอีกมาก”

ดูเหมือนผมจะเขียนอธิบายไปอ้อมโลก เพื่อจะบอกว่า ในตลาดหุ้นไทยเองก็เจอปัญหาทำนองเดียวกัน นั่นคงเป็นเพราะผมเกรงใจแวดวงวิเคราะห์หุ้นเนื่องจากผมก็เป็นนักวิเคราะห์หุ้น และ เป็นสมาชิกของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (ซึ่งตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนแล้ว) อยู่ด้วยนั่นแหละครับสารภาพตามตรง ผมเกรงใจมาก ตามประสาคนไทยที่ไม่อยากไปทับเส้นใครเข้า

แต่ถ้าจะให้กล่าวถึงที่สุดแล้ว ในเมืองไทยเราก็อีหรอบเดียวกับที่เกิดขึ้นในอเมริกา (และว่าไปแล้วก็เป็นกันแบบนี้ทั้งโลกนั่นแหละครับ)โดยเฉพาะเรื่องทีคนเล่นหุ้น นักลงทุน ก็มีอคติมากพอ ๆ กัน

ตำราเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (BEHAVIORAL ECONOMICS) ชี้ว่า พฤติกรรมเชิงเศรษฐกิจของมนุษย์ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด และต้องทั้งตระหนักและทั้งพึงระวังให้ดีข้อหนึ่งก็คือ “เราได้ยินสิ่งที่เราต้องการได้ยิน” โดยนักจิตวิทยาบอกว่า PERCEPTION หรือ การรับรู้และเข้าใจของมนุษย์นั้น SELECTIVE กล่าวคือจะเห็น เข้าใจ รับรู้ รู้สึกกับสิ่งต่าง ๆ เฉพาะที่ตนเองเลือก

ในด้านการลงทุนก็เลยมักจะเลือกรับรู้เฉพาะบทวิเคราะห์หรือข้อมูลที่เข้ากับอคติที่ตนเองเลือกแล้วอย่างขาดเหตุผล คือพอซื้อหุ้นไว้แล้ว หรืออยากจะซื้อหุ้นตัวนั้น ๆ ก็จะเลือกอ่านหรือความหาเฉพาะบทวิเคราะห์ที่แนะนำซื้อหุ้น ส่วนบทวิเคราะห์ที่เขาแนะนำให้ขายก็ไม่ยอมแตะเอาซะเลย

ดังนั้นคำแนะนำ ก็คือว่า ก่อนตัดสินใจลงทุน (ซื้อ,ถือ,ขาย) หุ้นนั้นควรตัดทิ้งอคติออกไป ทำใจให้เป็นกลาง พยายามอ่านข้อมูลบทวิเคราะห์และคำแนะนำที่รอบด้านที่สุด (เช่น การอ่านบทวิเคราะห์ CONSENSUS ของสมาคมนักวิเคราะห์ที่มีความคิดเห็นและข้อมูลที่หลากหลาย และรอบด้านมากกว่าจะพยายามอ่านหรือฟังเพื่อเลือกหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจที่ได้คิดไว้แล้วในใจ เพื่อความสบายใจของตนเอง...

พอผิดพลาดมาก็ไม่เคยคิดแก้ไขปรับปรุงทบทวน เพราะมีนักวิเคราะห์คอยเป็นกระโถนคอยรับเคราะห์แทนให้อยู่แล้ว เพื่อจะได้พึมพำโทษว่า “ไม่น่าเชื่อมันเลย”…

ไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ก็อย่าหลงเชื่อนักวิเคราะห์ (ไปซะหมด) ครับ

และถ้าไม่อยากหมดตัว ก็อย่าปล่อยให้อคติบังตา!

Chart of the day 26 มกราคม2559:ไม่ใช่ลูกเทพ ไม่ใช่ผัวเทพ เมียเทพ แต่มันคือ"พี่เทพ"


1.หน้าตาของภาพระยะยาวครับ หลังจากหลุดแนวรับรูปแบบสามเหลี่ยมแถวๆ160บาท ก็สารพัดข่าวร้ายกระทืบใส่ไม่ยั้งครับ (อยากดูชาร์ตชัดๆขึ้น คลิกที่ชาร์ตเลยครับ ภาพจะขยายเต็มจอพานอราม่าให้)

2.แต่ล่าสุดนั้นได้ตกมาถึงเขตBottom Lineแถวๆ40บาทแล้ว ก็น่าสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นbottom outแถวๆนี้ครับ 

3.น่าจะมีtechnical reboundไปเป้าหมายราวๆ75บาทในระยะต่อไป

แปลเป็นไทยคือหากติดดอยจนอ้วกมาแล้ว ก็ไม่น่าเททิ้งเทขว้างแล้วมังครับ หากอยากเล่นเอาเด้งซักยก ก็นับว่าควรค่าแก่การพิจารณา(โดยกำหนดจุดCut lossหากมาซื้อแถวๆนี้ คือหากหลุดเขตbottom lineที่40บาทลงไป)

คำเตือน:การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและมีความเสียว ผู้ลงทุนพึงศึกษาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ความเห็นข้างต้นนี้ไม่ใช่คำชี้ชวนให้ซื้อหลักทรัพย์ แต่ว่ากันตามหลักวิชา เผื่อจะได้นำไปประกอบการศึกษาค้นคว้าตำราในทางวิเคราะห์เทคนิคสืบไป
............

หมายเหตุ:สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำและลงไว้ในหนังสือคู่มือหุ้นปี59 ท่านใดซื้อเอาไว้ก็เปิดมาส่องดูนะครับ..ท่านใดอยากได้หนังสือที่ว่านี้ แจ้งความจำนงไปที่อีเมล์ tontan2008@gmail.com
 ครับ

Chart of the year:EGCO หุ้นDefensiveที่แปลงร่างเป็นCyclical +Growth stock 1ปีมีหนเดียว พลาดแล้วก็พลาดเลย(แหม่ เขียนเหมือนโคดสะนาขายของเลย อิอิ)



ความน่าสนใจของEGCOในชาร์ตนี้ ซึ่งเป็นภาพระยะกลางนับจากปี2010มาถึงเวลานี้ก็คือ มันมีการเคลื่อนไหวเป็นCycleที่น่าสนใจครับ

กล่าวก็คือหลังจากวิ่งRallyขึ้นไปทำNew Highในแต่ละรอบแล้ว ก็จะตก แล้วก็ซึมกระทืออยู่นานเป็นปี(เป็นปีจริงๆครับ ผมนับดูทั้ง 2 Cycle ก่อนหน้านี้ จะกินเวลาอยู๋ราวๆ 52 สัปดาห์ หรือ 12 เดือนเพะพอดี) จากนั้นก็จะเกิดRallyขึ้นไปทำNew High มา 2 รอบวัฏจักรแล้ว

ส่วนล่าสุดนี่ก็คือซึมเหมาปีมาครบ1ปีเต็มเมื่อวันที่31ธันวาคม2558ครับ เพราะงั้นถ้าหากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ณ เดือนนี้ก็ควรเริ่มสตาร์ทนับ1ในการRallyแล้วสินะครับ

ซึ่งก็ดูมีแววซะด้วย เพราะทำท่าว่าจะขึ้นผ่านแนวต้านด่าน160บาทขึ้นมาซะด้วยในเวลานี้ และหาก history repeats itself ก็ควรจะมีNew highเกินกว่ายอดเดิมที่ทำไว้เที่ยวก่อน180บาท

ส่วนจะขึ้นไปเท่าไหร่ ผมไม่บอก...ซะงั้น (ท่านๆที่ซื้อหนังสือคู่มือหุ้นปี59เอาไว้ก็เปิดมาส่องดูนะครับ)..ท่านใดอยากได้หนังสือที่ว่านี้ แจ้งความจำนงไปที่อีเมล์ tontan2008@gmail.com
 นะครับ

ด้วยความที่เป็นCycleแบบนี้ผมเลยกล้าเรียกว่าChart of the yearจริงๆสำหรับชาร์ตนี้


หุ้นแบบEGCOนี่ว่าไปแล้วจัดเป็นพวกDefensive Stockนะครับ โดยธรรมชาติก็เลยไม่ค่อยมีอะไรให้เร้าใจ แต่ผมคิดว่าที่จะRallyกันได้นั้นเพราะมีเรื่องGrowthซุกอยู่มาก...เอาแค่ว่ากำลังผลิตที่จะขยายใน5ปีข้างหน้านี่ก็ซัก45%ของกำลังผลิตในเวลานี้ ยอดขาย กำไรจะNew High ปีหน้ากำไรทะลุหมื่นล้าน

นี่มันStoryของหุ้นGrowthชัดๆ ดันมาแฝงร่างอยู่ในหุ้นDefensiveซะงั้น มันก็เลยมีอาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไปเหมือนๆCyclical stockที่ฉีกแนวไปจากDefensive Stockด้วยประการนี้

คำเตือน:การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและมีความเสียว ผู้ลงทุนพึงศึกษาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ความเห็นข้างต้นนี้ไม่ใช่คำชี้ชวนให้ซื้อหลักทรัพย์ แต่ว่ากันตามหลักวิชา เผื่อจะได้นำไปประกอบการศึกษาค้นคว้าตำราในทางวิเคราะห์เทคนิคสืบไป

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

Back to the Future(อนาคตของตลาดหุ้น ณ ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งกลับกลายเป็นอดีตไปแล้ว)






พอดีมีคนถามว่า ณัฐวุฒิดูจะมองโลกในแง่ดีมากในเวลานี้..แหมคุณไม่รู้อะไรหรอก ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายสุดๆเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้เอง

(นี่เป็นส่วนหนึ่งของบทความจากหนังสือเรื่อง "คู่มือตลาดหุ้นไทย 20 ปี (2015-2035ซึ่งผมปิดต้นฉบับเมื่อวันที่6พฤษภาคม2558 ตอนนั้นดัชนีหุ้นไทยอยู่แถวๆ1,530จุดนะครับ...คำพยากรณ์อนาคตในวันนั้น มาถึงวันนี้ มันก็กลายเป็นอดีตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)
............................................
ส่องกล้องมองตลาดหุ้นไทย ครึ่งหลังปี 2558 อาจเจอ FUTURE SHOCK ! 

มุมมองทางเทคนิค-ครบคลื่นขาขึ้น และพีคไปแล้วเสี่ยงนรก is coming คลื่น C !?

คุณๆควรแช่งให้ผมพยากรณ์ผิดนะครับ...เพราะหากผมถูกแสดงว่าตลาดหุ้นไทยจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 แล้วก็เหมาลงตลอดครึ่งปีหลังที่เหลือในปี2558 หรือลากยาวกลางปี 2559

การตกที่ว่านี้อาจจะไม่ใช่การปรับฐานราคา (Correction) เพื่อปรับขึ้นต่อ แต่มีความน่าจะเป็นได้สูงมาก (Most Probability) ที่จะเป็นการตกในช่วงทิศทางแนวโน้มขาลง ที่เรียกว่าเป็นการร่วงลงสู่คลื่น C ซึ่งจะร่วงลงแบบชัน

เมื่อไม่อาจลบสถิติเก่า1,789จุด สร้าง All Time High ได้เหมือนอีก 2 ตลาด โซน T.I.P. ก็คงต้องจำเป็นต้องพิจารณาจากมุมมองของทฤษฏีคลื่น Elliot Wave ว่า บริเวณ 1,620 จุดที่ขึ้นมาในต้นปี 2558 นั้นซึ่งไม่สามารถสร้าง New High เกิน Previous High ที่ทำไว้เขต 1,650 จุดเมื่อปี 2556 ถือว่าเป็นคลื่น b

ทั้งนี้มีข้อยกเว้นเสียแต่ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 (มิถุนายน-ธันวาคม2558)จะรีบขึ้นผ่านเขต 1,620 หรือ 1,650 จึงจะลบล้างภาพเชิงลบนี้ได้แล้วเปลี่ยนไปเล่นทางขึ้น

ความเสี่ยงสูงกว่าที่จะร่วงลงสู่คลื่น C เนื่องจากว่า :

1.ตลาดหุ้นโซน T.I.P.เริ่มถูกขาย และอาจเจอเงินทุนไหลออก -ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2558 ซึ่งเป็นท้ายไตรมาส 2 นั้นมีสัญญาณขายแรงๆเกิดขึ้นใน 2 ตลาดโซน T.I.P.คือฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มจากทิศทางขาขึ้นไปเป็นขาลง ฟิลิปปินส์ก็ส่อเค้าไปทางนั้น

ข้อพิจารณามีอยู่ว่า 

โซน T.I.P. ที่เคยได้อานิสงส์จาก Fund in Flow ( ทุนไหลเข้า ) ทำให้หุ้นขึ้นมาเป็นโซนแชมป์โลกในรอบนี้ ( จากปี 2551-2558 ) ดังนั้นหาก Hedge Fund จะขายทำกำไรและขนเงินทุนไหลออก ( Fund out Flow ) ก็น่าจะส่งผลกระทบให้ ฟองสบู่ตลาดหุ้น T.I.P. รวมทั้งหุ้นไทย ( ที่เกิดฟองสบู่ในหุ้นใหม่ IPO ขนานใหญ่ ในปีพ.ศ.2557 ) แตก หรือเหี่ยวเฉาลง

ตลาดหุ้นไทยเคยเจอทุนไหลออกครั้งสำคัญมา 2 หนคือครั้งฟองสบู่แตกปี 2540 และครั้งปี 2550-2551 และส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงแรงหนักและลึกที่เรียกว่าคลื่น C มาทั้ง 2 หน

2.เงินทุนไหลออกไปยังตลาดหุ้น อเมริกา, ยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น ?

3. เศรษฐกิจแย่ , ส่งออกติดลบมาตรการดอกเบี้ยและค่าบาทอ่อน (ระวังมาตรการช็อกตลาดไว้ด้วยหละครับ)

4. ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองสูงขึ้น

*เป้าหมายของการร่วงลง และ Bear Market Strategy 

หากทิศทางตลาดจะปรับตัวเป็นขาลงสู่คลื่น C จริง ๆนั้น น่าจะมีสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้ให้เห็นคือ

1) ตลาดโซน T.I.P. ตกลงแรง ๆ

2) ค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลรูเปียห์ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ เปโซอ่อนลง , นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาต่อเนื่องและขายหนัก

3)ดัชนี SET แกว่งฟอร์มตัวในรูปแบบสามเหลี่ยมแบบ Descending Triangle (จุด High ลดต่ำลง แต่ทำจุด Low ลดลง) เช่นขึ้นไปไม่เกินเขต 1,570-1620 แต่เวลาตกลงมาลึกกว่า 1,480 และหากทำจุดต่ำกว่าแถว 1,480 ก็น่าจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลง

โดยคาดการณ์ว่าจะตกลงไปเป้าหมายต่าง ๆ คือ

เป้าแรก 1,425 จุด
เป้าสอง 1,375 – 1350 จุด
เป้าสาม 1,200 จุด
เป้าสี่ หลุด 1,000 จุด

เป้าหมายต่ำสุดปลายคลื่นC น่าจะเกินบริเวณแถว ๆ 700 จุด +/ - (ตามทฤษฎีคลื่นและนัยสำคัญทางสถิติที่บ่งชี้ว่าปลายคลื่นC จะอยู่ไม่ลึกกว่าฐานของคลื่น 2 ทั้งนี้ฐานของคลื่น 2 อยู่บริเวณ 650 จุดในราวช่วงเดือน พฤษภาคม 2553 ดังนั้นจึงควรคาดว่ากรณี The worst case Scenario ของการร่วงลงสู่คลื่น C นั้นในเที่ยวนี้น่าจะไม่ลึกกว่า 700 จุด+/-

-ส่วนระยะเวลาการตก ให้อิงช่วงเวลากับโซน T.I.P (หากอินโดฯ กับฟิลิปปินส์ก็ตกพร้อมกัน) และอิงปัจจัยทางการเมือง คือรอจนกว่าความขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่คลี่คลาย หรือกติกา และวันเวลาเลือกตั้งที่ชัดเจนบางทีอาจกินเวลาราวครึ่งป

ช้าหน่อยก็ 1 ปี (คือตกไปถึงสิ้นปี 2558 หรือไปถึงกลางปี 2559)

กลยุทธ์ลงทุนในตลาดขาลง (Bear Market Strategy )

1. หากคุณถือครองหุ้นที่อิงทิศทางเดียวกันกับตลาดรวม (อิง SET) ให้ขายเพื่อปกป้องความเสี่ยงของขาลง

เช่นหากคุณมีหุ้นพวกที่อยู่ใน SET 50 หรือ SET 100 ที่ขึ้นต้องลงตามตลาด หาก SET ขึ้นไปไม่เกินเขต 1,570 หรือขึ้นไปไม่ผ่าน 1,600 แม้แต่ไม่ผ่าน 1,650 ให้ขายทำกำไร หรือหากตกลงมาทำจุดต่ำกว่า 1,480 ให้ขายรักษาทุน หรือ Stop loss หรือแม้แต่ยืมหุ้นมาทำ Short Sell หรือถือครองสถานะ Short สำหรับ trader ที่เทรด Set 50 Futures

2. ไม่แนะนำให้ซื้อทุกกรณี 

ไม่ว่าจะซื้อถัวเฉลี่ย เมื่อติดหุ้น เพราะคุณเสี่ยงจะนำเงินไปจมเพิ่มมากขึ้น , ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี ลงทุนยาวหากหุ้นนั้นเป็นหุ้น “ตลาด” (ขึ้นหรือลงตาม SET)’ เพราะราคายังจะตกต่ำอีก ยังจะมีส่วนลดอีกมาก , ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเล่นสั้น หวัง Rebound เนื่องจากตลาดขาลง (Downtrend) นั้น เวลาขึ้นมันขึ้นนิดเดียว คุณก็ไม่อยากขายพอลงทีมันลงลิฟต์ล้ำทุนคุณลงไป คุณไม่อยากขายก็กลายเป็นคนติดหุ้น

ผมว่าน่าซื้อกรณีเดียว 

คือกรณีผมผิด ตลาดหักปากกาเซียนวิ่งขึ้นเกิน 1,600 หรือเกิน 1,650 จุด กรณีนั้นจะขึ้นยาวเลยครับไปโน่นเลย 1,800 –2,000 จุด ผมไม่กลัวเสียหน้าหรือเสียชื่อเพราะฟันธงผิดหรอกครับ ผมมันก็คนธรรมดา ผิดมาก็มาก ถูกมาก็เยอะ ผมพร้อมจะกลับลำฟันธงว่า “ผมผิดครับ ให้กลับมาซื้อ Follow Buy ดีกว่าไม่ลงคลื่น C แล้วครับ ผมอ่านวิเคราะห์คลื่นผิดไปเองครับ...”

หรืออีกกรณีลงไปไม่หลุดด่าน1,200 แล้วฟอร์มตัวซิกแซ็กSideWay upขึ้นไปเขต1,600จุด แล้วขึ้น ...ก็แสดงว่าผมนับคลื่นผิด(ตรงนี้ไม่ใช่aลงมาbแต่เป็น3ใหญ่ปรับฐานลงมา4ใหญ่..)

แล้วไง! ณัฐวุฒิทำแบบนี้ลูกค้าก็แย่สิ... ไม่แย่ครับ หากผมถูก คุณได้ขายแถวดัชนี 1,500-1,600 จุด รูดลงไป C เขต 700 ช่วยคุณรักษากำไรรักษาทุนไว้ 50% แต่หากผมผิดขึ้นไปเกิน 1,600-1,650 คุณขายหมูเต็มที่ไม่ถึง 5% แล้วคุณไปซื้อคืนใหม่เหนือ 1,600ไปรอขาย 1,800 – 2,000 คุณได้กำไรกลับมา 20-30%

สรุปว่าคุ้มเสี่ยง, คุ้มค่าน่าทำ

3. ลดพอร์ตการลงทุนลง , นำเงินไปพักในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ 
หรือหุ้น Defensive Stock-ปัญหาที่มักตามมาของนักลงทุนในช่วงตลาดขาลงก็คือว่า เมื่อขายหุ้นมีเงินสดในมือไม่ได้ เกิดอาการ “คัน” ลืมกติกาง่าย ๆ ว่าตลาดขาขึ้นให้มีหุ้นในมือ , ตลาดขาลงให้กอดเงินสดไว้ในมือ อดแหย่ อดซื้อไม่ได้ ชอบมองว่าราคามันลงมาต่ำแล้ว เอาไปเอามาก็ติดหุ้น พอติดนานเห็นบัญชีแดงทุกวัน เครียดหนัก เอาไปเอามาลงไปกินทุนระดับ 40-50% ก็หมดใจขาย เสียหายหนัก

ดังนั้นผมขอแนะนำ ให้เอาเงินออกจากตลาดหุ้นโยกไปเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างตลาดตราสารการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าฝากแบงก์ ความเสี่ยงต่ำมาก ๆ หรือตลาดตราสารหนี้ก็ดีกว่าฝากแบงก์ ดีกว่าตลาดตราสารการเงินสภาพคล่องก็ดี ซื้อก็ง่ายขายก็คล่องผ่านกองทุนนะครับ

หรืออีกทางก็โยกเงินไปซื้อหุ้น Defensive Stock คือพวกกิจการสาธารณูปโภคอย่างน้ำ (TTW) ,ไฟ (EGCO RATCH) , ทางด่วน (BECL) รถไฟฟ้า (BTS), สนามบิน (AOT)... แต่ก็ว่านะครับ แม้จะได้ชื่อว่าหุ้น Defensive คือเป็นกิจการสาธารณูปโภค ถึงผูกขาด รายได้-กำไรตายตัวมีปันผลดี แต่หุ้นพวกนี้ก็ไม่วายขึ้นหรือลงตามตลาด เราไปซื้อหวังจะพักเงินไว้ได้ปันผล 5-7 % ก็ยังดี ปรากฏเวลาตลาดลงดันร่วงกับเขาอีก 20-30% ก็ลำบากเหมือนกันครับ...

4. รอตลาดลงจนจบ Complete มีสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้มขึ้น ค่อยกลับมาซื้อหุ้น 

ลองกลับไปอ่าน PART III เรื่องแนวโน้มขาลงและแนวโน้มขาขึ้น จะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมผมแนะนำแบบนี้

แม้ว่าผมจะทำนายเป้าหมายลงคลื่น C ไว้เป็นทางตั้งแต่ 1,425 ไปยันกรณีลึกสุด 700 จุด แต่อย่าลืมว่านี่คือการพยากรณ์นะครับ ถ้าแม่นก็ดีไป คุณรอ 700 ค่อยซื้อ แต่หากห่างเป้าเยอะก็แย่หละครับ ดังนั้นให้ดูว่าเมื่อไหร่ที่ดัชนี SET ไม่ลงทำ New Low แล้ว เช่น ไม่หลุดฐาน1,200ที่เคยทำไว้ตอนต้นปี2557 และเริ่มทำฐานจุด Low ยกสูงขึ้น และเริ่มทำจุด High เป็นสถิติ New High ได้เป็นครั้งแรกก็เมื่อนั้นแหละครับ แปลว่าตลาดได้ลงจนจบแล้ว ลง Complete แล้ว และผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว (Bottom Out) ก็ค่อยซื้อ

ตามวิธีนี้คุณอาจไม่ได้ซื้อในราคาต่ำสุด แต่แน่ใจได้ว่าจุดต่ำสุดผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นขาขึ้นรอบใหม่แหละครับ

...............
อ่านมุมมองตลาดหุ้นล่าสุดของผม:
MARKET OUTLOOK 2016-มุมมองทางเทคนิคต่อตลาดหุ้นไทยปี2559-กรอบแกว่งระหว่าง1,200กับ1,600จุด ยกเว้นแต่ว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

MARKET OUTLOOK 2016-มุมมองทางเทคนิคต่อตลาดหุ้นไทยปี2559-กรอบแกว่งระหว่าง1,200กับ1,600จุด ยกเว้นแต่ว่า...


กรอบล่าง-เขต 1,200 จุด+/-
กรอบบน-เขต1,600จุด+/-
กลยุทธ์-ซื้อหุ้นเมื่อยืนเหนือเขต1,200จุด และรอขายที่เขต1,600จุด
จุดCut Loss-หากเห็นหลุด1,200ลงไป ให้กำหนดCut Lossกรณีหลุดแนวรับสำคัญ1,165จุด
.......................................................

พิจารณาในทางโครงสร้าง ตามชาร์ตข้างต้นนี้ จะอธิบายง่ายๆดังนี้ครับ (อยากดูภาพใหญ่ๆชัดๆให้คลิกที่ชาร์ตด้านบน เพื่อขยายครับ)
1.โฟกัสที่ตลาดรอบใหญ่ในระยะกลาง ผ่านดัชนีSET ซึ่งนับจากทำจุดต่ำสุดที่เขต380จุด เมื่อปีพ.ศ.2551 และขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่เขต1,650จุด ในปีพ.ศ.2556 จากนั้นตกมาเขต1,205จุดในปีพ.ศ.2557 และฟื้นตัวขึ้นไปได้สูงสุดที่เขต1,620จุด เมื่อต้นปี2558 แล้วก็ตกมาแบบเหมาปี จนกระทั่งมาทำจุดต่ำสุดที่เขต1,250จุดในตอนสิ้นปี2558
2.เมื่อพิจารณาในทางโครงสร้าง โดยการนำตัวเลขอนุกรมFibonacciมาคำนวณ ระหว่างจุดต่ำสุด380จุด และจุดสูงสุด1,650จุด (ตามข้อ1) ก็จะได้เป้าหมายการตกปรับฐานที่มีนัยสำคัญทางเทคนิคที่บริเวณ 1,225 จุด ไปถึง 1,165 จุด เป็นประมาณ ซึ่งบริเวณนี้เรียกว่า เขตแนวรับ33.33%-38.20% Fibonacci retracement

แปลเป็นไทยเข้าใจง่ายๆก็คือ การที่ตลาดหุ้น(SET)ตกจาก1,620จุดเมื่อต้นปี2558และตกมาเหมาปีนั้น ในปี2559นี้น่าจะตกลงมาที่เป้าหมายสำคัญบริเวณ 1,200จุด+/-โดยประมาณ คือกินบริเวณตั้งแต่1,225จุด ไปจนถึงเขต1,165จุด โดยประมาณ

และเนื่องจากเขตแนวระบ33.33-38.20% retracement นี้มีนัยสำคัญทางสถิติอย่างมาก เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง จึงคาดว่าจะไม่ตกต่ำไปกว่าเขตที่ว่านี้

3.จากนั้นตัวดัชนีSETน่าจะแกว่งตัวแบบฟื้นตัวขึ้นไปที่เป้าหมายแนวต้านบริเวณ 1,600จุด+/-ในปี2559

ซึ่งภาพใหญ่นี้ก็คือธรรมชาติของการเคลื่อนไหวในคลื่นที่ 4 ก็คือการแกว่งตัวซิกแซ็กไซด์เวย์

ซึ่งภาพนี้ก็คือมีกรอบแกว่งตัวใหญ่ๆในระหว่างกรอบแนวรับใหญ่ๆเขต1,200จุด+/- กับเป้าหมายแนวต้านเขต1,600จุด+/-

4.ข้อยกเว้น มีดังนี้

4.1 แนวโน้มที่จะเป็นขาลงขนาดใหญ่มากๆ- หากSETลงไปต่ำกว่าเขต1,200จุด+/-(ซึ่งก็คือทำnew  low ลึกกว่า1,200ที่เคยทำไว้ตอนเดือนมกราคม 2557) อันนี้ก็ต้องประเมินใหม่นะครับ และยิ่งหากพังด่าน38.20%คือหลุดทะลุเขต1,165จุดลงไป แสดงว่า ตลาดจะตกรอบใหญ่ ตกแบบที่เรียกว่าลงคลื่นC เหมือนที่ผมเคยให้ความเห็นไว้ในครั้งก่อน(ตอนที่ผมเขียนไว้เมื่อช่วงกลางปี2558 และในหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทย20ปี ค.ศ.2015-2035)

เป้าหมายการตกต่ำนั้นกรณีThe Worst Caseของปลายทางคลื่นCคือเขตตั้งแต่850จุดไปยัน650จุดนะครับ น่ากลัวมากๆ

4.2แนวโน้มที่จะเป็นขาขึ้นขนาดใหญ่มากๆ-อันนี้ก็คือตรงกันข้ามกับข้อ4.1เลยหละครับ คือปรากฎว่าในปี2559 ตลาดหุ้นไทย(SET)ขึ้นไปกระทั่งหักด่านแนวต้านเขต1,600 และพีคเก่า1,650จุดได้ ในกรณีนี้ก็จะเหวี่ยงRallyขึ้นไปในคลื่นที่5ใหญ่ที่จะมีเป้าหมายขึ้นไปบริเวณ1,789จุด ที่เคยเป็นhistorical high หรือสร้างAll Time Highเป้าหมายเขตตั้งแต่1,800ไปยัน2,000จุดได้

ข้อสรุป-เมื่อพิจาราณากรณีฐาน( Base Case Scenario)แล้วก็คาดการณ์ว่าในปี2,559นั้น SETจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกรอบล่างคือเขต1,200จุด+/- และขึ้นไปไม่เกินเขต1,600จุด+/-
ดังนั้นในทางกลยุทธ์จึงแนะนำการลงทุน ดังนี้
1.แนะนำให้ซื้อหุ้น เมื่อเห็นตลาด(SET)ลงมาที่บริเวณ1,200จุด+/- ก็คือตั้งแต่เขต1,250ลงมาถึง1,225จุด หรือเขต1,200จุด หรือหากมีหุ้นก็แนะนำให้ถือเอาไว้ เนื่องจากเขต1,200+/-เป็นกรอบล่างของปี2559 ถือว่ามีความเสี่ยงของขาลงจำกัด หรืออาจได้เข้าซื้อในจังหวะที่อาจจะเป็นจุดต่ำสุดของปี

หรือหากมีหุ้นก็ไม่ควรเทขายทิ้งในตอนที่ลงมาเขต1,200+/-(ตั้งแต่1,200ไปจนถึงเขต1,250จุด) เพราะเสี่ยงที่จะมาขาย ณ บริเวณที่เป็นจุดต่ำสุดของปีครับ

เมื่อซื้อหุ้น หรือมีหุ้นในมือแล้วก็ให้ไปรอขายที่เขตเป้าหมาย1,600จุด+/-(ตั้งแต่1,600ไปถึง1,650จุด) หากไวที่สุดก็จะเป็นราวกลางเดือนพฤษภาคม 2559 หากช้าที่สุดก็คือเดือนธันวาคม2559 หรือมกราคม 2560

2.เว้นเสียแต่ว่า ตลาดดีเกินคาด ชนะด่าน1,600-1,650จุดขึ้นไปได้  ให้เปลี่ยนเป้าหมายไปรอขายที่เขต1,800จุด อาจเป็นกลางพฤษภาคม 2559 หรือธันวาคม 2559 นี่เป็นกรณี Best Case Scenario

3.โดยอย่าลืมการบริหารความเสี่ยงหลีกเลี่ยงขาลงขนาดใหญ่และลงยาวด้วยนะครับในกรณี Worse Case Scenario  หรือ The Worst case กล่าวก็คือหากเห็นSETหลุดด่าน1,200จุดลงไป ให้คิดไว้หน่อยครับว่า ตัวเลขที่มีนัยทางสถิติมากๆคือ38.20%retracementนั้นก็คือบริเวณ1,165จุด

พูดง่ายๆว่าให้เป็นปราการด่านสุดท้ายนะครับ ถ้าในปี2559มันร่วงหลุด1,200ก็ว่าแย่แล้วนะครับ ในทางจิตวิทยาก็ขวัญเสียกันแล้ว แต่หากยังพังด่าน38.20%retracementคือ1,165จุดลงไป แสดงว่าตลาดมันมีความมุ่งมั่นที่จะตกอย่างยิ่ง ก็อย่าไปขวางทางเลยครับ เพราะจะไหลได้ยาวตั้งแต่1,000จุด ไปหลุด1,000ลงไปที่เขต800-8,50จุด หรือThe Worst caseคือราวๆ650-700จุดครับ

หากเกิดกรณีพังด่าน1,200ลงไป ก็แนะนำให้กำหนดจุดStop Lossไว้ครับ ว่าหากหลุดด่าน1,165จุดลงไป ก็สมควรต้องขายหุ้นออกเพื่อรักษาทุน(โดยเฉพาะหากหุ้นในมือของท่านมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับSETเป็นหลัก) รักษาเงินสดไว้ และเตรียมใจสำหรับขาลงขนาดใหญ่ ที่ท่านควรออกจากตลาดมาก่อนจะไม่เหลืออะไรเลย  หรือFollowในทางขายShort หากำไรในยามตลาดขาลงครับ

สรุปแล้ว ผมก็คิดว่าได้ประเมินทิศทางแนวโน้ม และเสนอแนะกลยุทธ์ให้ครอบคลุมไว้ครบทุกทางแล้ว ก็ขออวยพรให้ออกมาในทางดีๆที่ท่านต้องการและจะได้สมหวังในการลงทุนปี2559นี้
แต่หากมันผิดไปจากคาดการณ์ ก็ต้องพลิกเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่สุด
โชคดี มีกำไร ปลอดภัยในการลงทุนตลอดปี2559ครับ
.......

กาลครั้งหนึ่งเมื่อปีกลาย ผมเคยมองตลาดหุ้นเลวร้ายมาก อ่าน: Back to the Future(อนาคตของตลาดหุ้น ณ ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งกลับกลายเป็นอดีตไปแล้ว)


เกี่ยวกับผู้เขียน

ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
............


-ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-ที่ปรึกษาการลงทุนรับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.
-ที่ปรึกษาการลงทุนให้คำแนะนำการลงทุนผ่านสื่อของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เรื่องการลงทุนหุ้น
.............
คู่มือตลาดหุ้นไทยปี2559 -แจ้งข่าวคืบหน้า สำหรับท่านที่กรุณาสั่งจองหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทยปี2559 เขียนโดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ไว้ หลังจากได้ส่ง5หุ้นเด่น+1 ประจำปีนี้ไปให้ก่อนสิ้นปี2558ที่ผ่านมา ตอนนี้ได้ส่งภาคที่ 2 และภาคที่ 3 สมทบไปเพิ่มเติมให้แล้วนะครับ รวมทั้งคู่มือตลาดหุ้นไทยรายสัปดาห์(คัมภีร์หุ้นไทย)

ท่านที่ได้สั่งจองไว้ กรุณาเช็กดูในอีเมล์ของท่านครับ ..หากพบปัญหาใดๆ ให้ติดตอ่สอบถามที่อีเมล์ tontan2008@gmail.com โชคดี มีกำไร ปลอดภัยในการลงทุนครับ

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

Chart of the day 18 มกราคม 2559:ชาวเกาะ



1.ก็น่าตกใจครับ น้ำมันโลกร่วงหลุด30$ ข่าวร้ายสารพัด และแล้วPTTก็หลุดทะลุ206บาทลงมา เป็นการเปิดแก็ปร่วงพลั้วะลงมาเลย...น่ากลัวมิใช่น้อย

2.การเปิดGapร่วงลงมาในตอนตลาดหมีขาลงแบบนี้ หน้าตาทำนองนี้ นักเทคนิคเขาเรียกว่ารูปแบบ"เกาะ"ครับ ในทางร้ายเรียกว่าโดนปล่อยเกาะ(Isolate Island) แต่บางครั้ง หรือหลายคราวกลายเป็นทางดี เรียกว่า Island reversal

คือกลายเป็นจุดต่ำสุดของเที่ยวขาลงเที่ยวนั้นๆ แล้วเกิดการกลับตัวกลับใจ จากที่เคยเป็นขาลงในตลาดหมีมายาวนาน ก็กลับตัวเป็นทิศทางขึ้นซะงั้น

ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นเรื่องหลังมากกว่าเรื่องแรกนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

คัมภีร์หุ้นไทย : อำลาปีหมี ... สวัสดีปีกระทิง … เรื่องที่กลัวกันมันจะไม่เกิด ส่วนเรื่องที่จะเกิดคนก็ไม่ได้กลัวกันก่อน (ตอนที่2)



โดย ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ที่ปรึกษาการลงทุนใบอนุญาตเลขที่12888 บลป.ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โทร. 029275800 E-Mail : tontan2008@gmail.com Fax : 02-927-5808


ข.ส่องกล้องมองไปข้างหน้า 2559 โอกาสดีและปีกระทิง..?

ก่อนอื่นผมอยากให้หลับตาแล้วนึกตามที่ผมจะพูดให้ฟังยังงี้นะครับ

*จำได้ไหม น้าอายังจำได้ไหม?..ตอนต้นปี 2558 ที่ผมเตือนว่าตลาดหุ้นจะตกไปถึงสิ้นปีให้ใช้กลยุทธ์ BEAR MARKET STRATEGYคือเน้นขาย และอย่าซื้อ อย่าถือหุ้นไว้มากนั้น...เวลานั้นก็ชวนยากชวนเย็นนะครับ ลูกค้าและนักลงทุนชอบถามว่ามันมีข่าวร้ายอะไรไม่ดีเหรอ ก็ไม่เห็นมีอะไร?

*มาตอนนี้ตอนจะสิ้นปี 2558 ผมบอกว่า ได้เวลาซื้อแล้วครับ (TIME TO BUY) ปีหน้าหุ้นจะขึ้นครับ กระทิงจะมา...เวลานี้ลูกค้าและนักลงทุนก็ออกอาการชวนยากชวนเย็นอีกหละครับ ชอบถามว่าตอนนี้มีแต่เรื่องแย่ ๆ นะ FED ขึ้นดอกเบี้ย, ฝรั่งขาย,เงินทุนไหลออก, เศรษฐกิจขึ้น HARD LANDING, กรีซก็รอปะทุ

เศรษฐกิจไทยก็ลำบาก,หุ้นน้ำมันก็ร่วงหนัก BROKER HOUSE ยักษ์ใหญ่อย่าง GOLDMAN SACH บอกจะร่วงลงไป 20$ ไหนจะการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญ ไหนจะกำไรของ บจ.ก็แย่ลง

คุณครับ! “WE DRAW THE FUTURE” ตลาดหุ้นเป็นเรื่องอนาคตครับส่องกล้องไปข้างหน้า และ TRADE ให้สอดคล้องกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 6 หรือ 12 เดือนข้างหน้าครับ ไม่ใช่ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่กำลังจะผ่านไป

อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2559 บ้าง ?

ผมเขียนไว้ละเอียดแล้วในหนังสือคู่มือตลาดหุ้นไทยปี ’59: อีก 1 ปีทองของนักลงทุน พร้อมหุ้นเด่นที่สุด 6 ตัว ชนิดลงทุนแล้วหวังผล เชิญหาอ่านแล้วพกคู่มือฉบับนี้สู้กับตลาดได้สบาย เล่มเดียวเอาอยู่!

ผมจะสรุปแบบฉบับย่อให้นะครับ อะไรจะเกิดขึ้นในปี 2559 บ้าง ?

1)หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ไอ้ที่ตกก็ตกกันไปแล้ว ต่อแต่นี้หุ้นก็จะขึ้นครับ

เหตุเพราะความกังวลว่าเงินทุนที่จะไหลออก หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยนั้นมันได้ PRICED-IN เข้าไปในราคาหุ้นไทย นับจากเดือนมิถุนายนมายันสิ้นเดือนธันวาคม 2558 และฝรั่งต่างชาติขายสุทธิออกมามากกว่า 1.5 แสนล้านบาทก็ OVER REACTED ไปแล้วครับ!

ดังนั้นไอ้ที่จะไหลออกอีกนั่นหนะ ถึงจะมีก็ไม่เท่าไหร่แล้วครับ แต่จะไหลกลับนั่นมากกว่า ดังสถิติที่ผมเคยยกมาให้ดูในบทความ 2-3 ครั้ง ที่ผ่านมาแล้วว่า หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ตลาดหุ้นจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (EMERGING MARKET-EM) อย่างตลาดหุ้นไทยนั้นจะขึ้นครับไล่กันเป็นวัน คือหลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยผ่านไป 60 วัน,เป็นเดือนคือ ผ่านไป 6 หรือ 12 เดือนและไล่เรียงกันเป็นปี คือ 2 ถึง 3 ปีนั้น ตลาดหุ้นขึ้นครับ

คราวนี้ก็ “น่าจะขึ้นเหมือนสถิติ ในอดีตที่ผ่านมาครับ...

2)ราคาน้ำมันและหุ้นพลังงาน,โภคภัณฑ์ น่าจะ OVER REACTED ไปแล้ว

ผมทราบดีครับว่าข่าวร้ายเพียบ ทั้งเรื่องอุปทานล้นเกิน (OVER SUPPLY) อุปสงค์หดตัว ตามภาวะเศรษฐกิจจีน และ GOLDMAN SACH ชี้ว่าจะตกไปที่ 20$ แต่อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าราคาน้ำมันได้ตกมาซับเอาข่าวร้ายที่ว่าไปมากเกินพอแล้วครับถ้าดูจาก CHART ก็จะพบด้วยว่าเกิดสิ่งที่เรียกว่า BULLISH DIVERGENCE ด้วยคือ ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงมาทำ NEW LOW แต่ตัวเครื่องมือชี้วัด RSI ไม่ลง NEW LOW ตาม แถมยังสวนทางขึ้น (สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ลักษณะอาการแบบนี้มักบ่งชี้ถึง

1) การตกลงมาทำจุดต่ำสุด (BOTTOM OUT) ของขาลงเที่ยวนั้น ๆ

2) เป็นสัญญาณการกลับตัวของราคา คือจากที่เคยเป็นขาลงก็จะกลับไปเป็นขาขึ้น อาจจะไม่ได้เห็นกันในวันสองวัน แต่ในเดือนสองเดือนจะชัดเจนขึ้นครับ

และหากดูชาร์ตรายเดือนก็จะมีจุดน่าสนใจคือ การลงมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเขต 34$ นั่นก็คือใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ 33$ เมื่อต้นปี พ.ศ.2552 ดังนั้นก็น่าจะมี “โอกาสมาก”ที่จะทำจุดต่ำสุดในรูปแบบ DOUBLE BOTTOM บริเวณ 33$ (หรือถ้าเอาตัวเลขกลม ๆ เลยก็คือ 30$)

*หรือแม้แต่จะตกไป 20$ แบบที่ GOLDMAN SACH ว่า ผมถามตรง ๆ นะครับ WHO CARE?! ก็อีกแค่ 10$ เทียบกับที่มันตกมาจากราคา 100 กว่าเหรียญนะครับ?

แต่ถ้ามัน DOUBLE BOTTOM แล้ว REBOUND ขึ้นที่เป้าหมายในปี 2559 คืออย่างน้อย 60$ นะครับ หรือ 70 ถึง 75$

นั่นหมายถึงว่าหุ้นน้ำมันและพลังงานแบบ PTT PTTEP TOP BANPU IRPC ESSO อะไรแนว ๆ นี้ หรือพวกโภคภัณฑ์และสินค้าเกษตรแบบ STA KSL IVL แนว ๆ นี้จะปรับตัวขึ้นในปี 59 ครับ
และ SET ก็ขึ้นด้วยหละเพราะหุ้นน้ำมันและพลังงานนั้นถ่วงน้ำหนักดัชนี SET เอาไว้เยอะนั่นเอง

3. HARD LANDING ในตลาดหุ้นจีน (ก็) ผ่านไปแล้ว

ปัจจัยลบที่กังวลกันในปี 2559 คือกลัวเศรษฐกิจจีน HARD LANDING แล้วช็อกโลก...แต่ผมว่ามันช็อกโลกไปเรียบร้อยในปี 2558 ครับ ในปี 2559 นี่ตลาดหุ้นจีนมี 2 ทางคือ 1.SIDEWAY UP คือแกว่งขึ้นแต่ไม่หวือหวามากเพราะเดี๋ยวโดนแบบปี 2558 หรือ 2.SIDEWAY คือซึมตัวออกด้านข้าง

แต่ดูจาก CHART ที่จะตกแรง ๆ นั้นมีน้อยมาก เพราะเจอ BOTTOM ไปแล้วครับทำฐานยกสูงขึ้นสวยงามมาก (มี HIGHER LOW) และตอนขึ้นก็ทำจุดสูงใหม่ (NEW HIGH) นี่คือรูปแบบของขาขึ้น หรือ SIDEWAY UP ครับ

ถ้าจะเขย่าตลาดหุ้นทั่วโลกบ้าง ก็จะเกิดขึ้นเพราะความหวาดผวาระแวงมากกว่าที่มันเป็นจริง
“เรื่องที่คนกลัวนั้นมักไม่ค่อยเกิดส่วนเรื่องที่เกิดนั้น เพราะคนไม่ค่อยกลัว”...เรื่องนี้ ใช้ได้กับตลาดหุ้นเสมอแหละครับ ดังนั้นไม่ใช่เรื่อง HARD LANDING ของจีนหลอกครับที่ต้องกลัว แต่เรื่องอื่น ๆ ให้ระวังกันไว้หน่อยอย่าง กรีซ หรือ บราซีล หรือ ยุโรปอะไรทำนองนั้น ที่จะช็อกโลกแทนหรือภัยจากการก่อการร้าย อะไรเทือกนั้น

4.ELECTION RALLY YEAR

ปี 2559 อเมริกาเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนครับ แต่จะได้คู่ชิงตั้งแต่กรกฎาคมแล้ว สมมุติว่าคู่ชิงคือ ฮิลลารี่ คลินตัน VS โดนัลด์ ทรัมพ์ นี่ก็สนุกหละครับ...แต่ประเด็นคือนับจากปี 1880 เป็นต้นมา ถึงเลือกตั้งหนล่าสุดเมื่อ 2012 นั้น ตลาดหุ้นอเมริกาในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะสดใสคึกคักตลอดครับ จนเรียกปีที่มีการเลือกตั้ง ปธน. นั้นว่า PRESIDENTIAL ELECTION RALLY YEAR ครับ
ปีนี้ก็”น่าจะ”เดิม ๆ ครับ และหุ้นทั่วโลกคงจะได้อานิสงส์กันไปด้วยพวกหุ้นสื่อสารมวลชน ที่อาการเพียบเพราะค่าใช้จ่าย TV DIGITAL สูบไปจนซีดเซียวก็คงพอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง (BEC MCOT NMG NEC WORK NEWS อะไรทำนองนี้นะครับ หรือสิ่งพิมพ์แบบ NMG POST MATI เป็นต้น)

5.การเมือง ยังนิ่งอีกปี

จะมีการกระเพื่อมบ้างก็ตอนจะลงประชามติกันแต่ก็คงไม่หนักหนา เพราะคณะรัฐประหาร คสช.ยังคงกระชับอำนาจไว้เข้มงวด และคนในบ้านเมืองก็ยังแบ่งเป็น 2 ฝั่งเหมือนเดิม คงแค่แขวะกันไปด่ากันมาพอให้หายรำคาญกันแค่นั้นแหละครับ ความเสี่ยงชนิดจะบานปลายกลายเป็น CIVIL WAR หรืออะไรทำนองนั้น ไม่น่ามี (ถ้าจะมี มันก็คงมีกันไปนานแล้ว)

บ้านเมืองก็จะมีเสถียรภาพใต้อำนาจระบอบปกครองทหารไปอีกปี ซึ่งก็จะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นน้อยมาก

ความจริงมีอีกหลายเรื่องที่น่ากล่าวถึง เช่น GOVERNMENT SPENDING พวก MEGA PROJECT ที่จะหนุนเศรษฐกิจการลงทุนในปี 59, เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว AEC และกำไรของ บจ. แต่เรื่องมันยาว ผมก็ขมวดปมจบดื้อ ๆ ตรงนี้หละนะครับ

ทั้งหมดนี้ที่จะเกิดในปี 2559 ครับ แต่ตอนหุ้นขึ้นโน่นแหละ “ข่าวดี” ที่ผมว่ามานี้ ถึงจะพาเหรดกันมาเป็นขบวน

จำได้ไหม น้าอายังจำได้ไหม? หุ้นขึ้นหรือตกไม่ใช่เ้พราะข่า่วทำให้มันขึ้นหรือตกซะหน่อยครับ

หุ้นมันขึ้นหรือตกไปแล้ว ข่าวค่อยตามมาอธิบายในตอนหลังต่างหาก...หรือว่าไม่ใช่?